วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มหาภูตรูป๔

ธาตุที่ต้องอาศัยซึ่งกันและกันรวมตัวกันเป็นปัจจัยให้เกิดมหาภูตรูป๔

ความเข้าใจในเรื่องมหาภูตรูป๔ โดยการแสดงความสัมพันธ์กันเป็นปัจจัยให้เกิดโดยอาศัยซึ่งกันและกัน
คัมภีร์ปัฏฐาน อธิบายปัจจัย ๒๔ โดยพิสดาร แสดงความสัมพันธ์อิงอาศัยเป็นปัจจัยแก่กันแห่งธรรมทั้งหลายในแง่ด้านต่างๆ
มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยธรรม(ธรรมทั้งหลายที่ทรงไว้ซึ่งธรรมชาติอันเป็นเครื่องกำหนดในอุปทาน) เกิดขึ้น...ความหมาย เช่น 
เพราะ ดิน เป็นปัจจัย <—> จึงเกิด น้ำ-ไฟ-ลม
ขณะเดียวกัน น้ำ-ไฟ-ลม ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ดิน ด้วย

มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น...
ในที่นี้ เช่น ดิน-น้ำ เป็นปัจจัย <—> ไฟ-ลม จึงเกิดขึ้น เป็นต้น
ดิน จะคู่กับ น้ำ , ไฟ จะคู่กับ ลม ได้


กฏัตตารูป
(รูปที่เกิดขึ้น)ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูป เกิดขึ้น...
เช่น อสัญญสัตตาพรหม ในปฏิสนธิกาลมีกัมมชรูป(รูปที่เกิดจากกรรม) ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตรูป ๑
อวินิพโภครูป ๘ 
ประกอบด้วย มหาภูตรูป ๔ และ อุปทายรูป ๔
มหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน) ๔ ได้แก่
ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) เป็นรูปที่อ่อนหรือแข็ง
อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เป็นรูปที่เอิบอาบหรือเกาะกุม 
เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) เป็นรูปที่ร้อนหรือเย็น
วาโยธาตุ 
(ธาตุลม) เป็นรูปที่ไหวหรือตึง
มหาภูตรูป ๔ นี้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น จึงแยกกันไม่ได้เลย  และมหาภูตรูป ๔ นี้เป็นปัจจัยโดยเป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก ๔ รูปที่เกิดร่วมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน  คือ อุปาทายรูป ๔  ได้แก่
วัณณะ  (แสงสี)  เป็นรูปที่ปรากฏทางตา
คันธะ ( กลิ่น)  เป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก  
รสะ  (รส)  เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น
โอชะ (
าหาร)  เป็นรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป

อวินิพโภครูป ๘  นี้แยกกันไม่ได้เลย เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดที่เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะมีแต่มหาภูตรูป ๔โดยไม่มีอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด)๔ รูปนี้ไม่ได้เลย
ดังนั้น เพราะมหาภูตรูป ๔(ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม) เป็นปัจจัย —> จึงเกิดอุปทายรูป ๔ (วัณณะ-คันธะ-รสะ-โอชะ) ชีวิตรูป๑ จึงเกิดขึ้น

อุปาทายรูป ๔ มี (สี กลิ่น รส และอาหาร)  ต้องอาศัยทั้ง ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม จึงเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ มหาภูตรูปเป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทายรูปได้ แต่อุปาทายรูป เป็นปัจจัยให้เกิด มหาภูตรูป ไม่ได้ 

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สิวรอบปาก

·           เป็นสิวรอบปาก เกิดจากอะไร
       ได้ยินว่าคนที่มักเป็นสิวในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ แสดงว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น หากสิวขึ้นที่แก้ม แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร อยากทราบว่าความเชื่อดังกล่าว เป็นความจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงอยากทราบว่า      ถ้าเป็นสิวรอบปากมันเกิดจากอะไรค่ะ



       
สิวรอบปากหรือผิวหนังอักเสบที่ดูคล้ายสิวบริเวณรอบปากนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ เช่น


       
ฮอร์โมนกระตุ้น ทำให้หน้ามันเป็นสิว เช่นช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน

       
เครื่องสำอางหรือสารเคมี ที่รบกวนผิวบริเวณนั้น เช่น ครีมที่เหนอะหนะ หรือใช้ครีมหลายตัวมากเกินไปจนเกิดการระคายเคือง

       
อาจเกิดจากยาสีฟันที่มีสารฟลูออไรท์ ในบางกรณี

       
การกดทับหรือเสียดสีผิวบริเวณนั้นบ่อยๆ

       
างคนอาจสัมพันธ์กับอาหารบางชนิด เช่น อาหารมันๆ ช็อคโกแลต ฟาสต์ฟูดต่างๆ โดยอาจเป็น เพราะอาหารนั้นๆ หรือจากการสัมผัสอาหาร มาเลอะบริเวณรอบปากก็ได้

       
ยาทาที่มีเสตียรอยด์ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีแบคทีเรีย หรือยีสต์เจริญเติบโตมากผิดปกติ

       
นผู้ที่ผิวแดงเรื้อรังและแพ้ง่าย อาจถูกกระตุ้นให้เกิดตุ่มแดงอักเสบได้จาก อากาศร้อนจัด น้ำร้อน อาหารรสจัด หรือแอลกอฮอล์เป็นต้น

       ส่วนเรื่องที่ได้ยินมาว่าเป็นสิวที่แก้มแสดงว่ามีปัญหาระบบย่อยอาหาร หรือสิวที่อื่นบนใบหน้า แสดงว่ามีปัญหา ระบบภายในร่างกายอื่นๆ นั้น เป็นส่วนหนึ่งของแพทย์ทางเลือก เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะสิวก็เป็นปัญหาส่วนหนึ่ง ของร่างกายเหมือนกัน เพียงแต่เราจะมองเห็นได้ก่อน แต่ยังไม่เคยมีรายงาน หรือการศึกษาในแพทย์แผนปัจจุบันครับ ว่าสิวตำแหน่งใด แสดงถึงอวัยวะภายในใดกำลังมีปัญหา หากใครพบว่ามี
 
        ใครที่เป็นสิวบ่อยๆ แล้วไม่อยากไปรักษาแพงๆ วันนี้มีเกร็ดความรู้วิธีรักษาแบบประหยัดมาฝากกัน...

        
ต้องถ่ายน้ำเหลืองออกจากตัวบ้าง ด้วยการไปซื้อ "ดีเกลือฝรั่ง" มารับประทาน ราคาก็ไม่แพงมากนัก

        
ควรลดอาหารประเภทมีไขมันสูงและเผ็ดจัด เช่น อาหารที่ทำจากกะทิ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะดี เพราะไขมันเหล่านี้จะทำให้รูขุมขนอุดตัน ส่วนความเผ็ดจะเร่งให้สิวเกิดมากขึ้น

        
ใช้ปลายนิ้วถูตามใบหน้าแรงๆ เพื่อให้กากไขมันหลุด แต่ไม่ต้องแรงมากจนเป็นผื่นแดงเพราะจะทำให้ใบหน้าเป็นแผลและมีอาการแสบได้

        
ทุกครั้งที่หน้าเปียกให้เช็ดหน้าให้แห้งทันที โดยการซับหน้าเบาๆ

        
ต้องงดใช้เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มความสวยทุกชนิดสักระยะ แม้แต่แป้งก็ห้ามใช้ ทั้งนี้เพื่อรักษาใบหน้าให้สะอาด แห้ง และจะได้ไม่มีอะไรมาอุดตันรูขุมขน

           ควรรับประทานผักและดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อระบบขับถ่ายที่ดี เพราะการที่เบ่งอุจจาระก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้

ตำแหน่งสิวบอกโรค


ตำแหน่งสิวบอกโรค..
การเป็น "สิว" บอกอะไรมากกว่าที่คิด สถาบัน Leonard Darke วิเคราะห์การดูแลผิวหน้าแบบตะวันตก ได้ผลสรุปว่าสิวที่ขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ ของหน้าสามารถบอกความผิดปกติที่เกิดกับอวัยวะภายในได้  โดยหลักโหงวเฮ้งจะบอกบุคลิกลักษณะนิสัย  "แต่ถ้าบอกว่าสิวที่ขึ้นสัมพันธ์กับอวัยวะภายใน"  ตรงนี้ยังไม่มีการพิสูจน์  แต่ก็อาจจะเป็นไปได้
Face Mapping คือศาสตร์ใหม่ เป็นกระบวนการพิสูจน์ และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในปรัชญา ความคิด เบื้องต้นที่ว่า ผิวหน้าสามารถบ่งบอก ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณดังนั้นถ้าคุณสังเกตผิวหน้า ของตัวเองดี ๆ เราจะสามารถรู้อะไรได้หลายอย่างทีเดียว โดยเฉพาะสิวที่ขึ้นในตำแหน่งต่างกันนี้
ถ้ามีสิวขึ้นที่...
โซนที่ 1 และโซนที่
 หน้าผากด้านซ้าย และขวา เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และต่อมหมวกไต  
 สาเหตุ : เพราะมีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด อาจเพราะทารองพื้น หรือแต่งคิ้วมากเกินไป
โซนที่ 2
หว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแล็กโทส (คุณอาจจัดอยู่ในพวก ที่ดื่มนมไม่ได้)
สาเหตุ : เพราะรับประทานอาหารรสจัด หรือนอนดึกเกินไป
โซนที่ 4 และโซนที่ 10   
ใบหูทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต  
 สาเหตุ : ล้างแชมพู หรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์ มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือรับประทานเนื้อสัตว์ มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจาก การมีรอบเดือน
โซนที่ 5 และโซนที่ 9
แก้มส่วนบน เกี่ยวข้องกับไซนัส และปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวข้องกับเหงือก และฟัน
สาเหตุ : สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บลัชออน และรองพื้นไม่เหมาะสม แต่ถ้าเป็น ริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหา เรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็น ๆ หาย ๆ ที่แก้มด้านล่าง อาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์ มือถือไม่สะอาด

โซนที่ 6 และโซนที่ 8
รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต ปัญหาโรคภูมิแพ้
สาเหตุ : เครื่องสำอางที่ใช้อาจไม่เหมาะกับสภาพผิว หรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการ มีสารพิษ ตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้ หรือขาดสารอาหาร

โซนที่ 7
จมูก และเหนือริมฝีปาก เกี่ยวข้องกับการทำงาน ของหัวใจ และระบบสืบพันธุ์
สาเหตุ : หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอก ถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบ จากฮอร์โมน เช่น กำลังมีประจำ-เดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด


โซนที่ 11 และโซนที่ 13
ใต้ริมฝีปากด้านซ้าย และขวา เกี่ยวข้องกับการทำงาน ของรังไข่
สาเหตุ : อาจทำความสะอาดได้ไม่พอ หรือมาจากขาดความสมดุลทางฮอร์โมน

โซนที่ 12
ปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
สาเหตุ : อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม

โซนสุดท้ายโซนที่ 14
ลำคอ และหน้าอก
สาเหตุ : เกิดจากความเครียด


นี่เป็นเพียงแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยของการวิเคราะห์สภาพผิวหน้าที่ทำให้รู้ได้ถึงสุขภาพภายในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าจะต้องดูแลบำรุงทั้งสุขภาพภายในและภายนอกอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีทั้งสีหน้า แววตาและผิวพรรณที่เป็นสุขได้แล้วล่ะค่ะ 

6 สารอาหารดี...ดูแลหัวใจ

6 สารอาหารดี...ดูแลหัวใจ

                   คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "หัวใจ" เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เพราะหากหัวใจหยุดทำงานเมื่อใด เมื่อนั้นชีวิตก็ถึงจุดอวสาน คุณเคยลองคิดบ้างหรือไม่ว่า ตัวเรามีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหน ที่กล่าวเช่นนี้เนื่องจากว่าในแต่ละปีมีคนจำนวนมากเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ในประเทศไทยก็มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ชั่วโมงละ 2 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีสารอาหาร 6 ชนิดที่ดูแลสุขภาพของหัวใจได้เป็นอย่างดี เริ่มจาก

         น้ำมันปลา พบว่า การบริโภคปลาทะเล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพิ่มกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า-3  จะส่งผลต่อการรักษาสุขภาพหัวใจ พบว่า ลดไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

         กระเทียม พบว่ากระเทียมมีผลต่อระดับไขมันในร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล และระดับคอเลสเตอรอลนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ ทำให้ภาวะหัวใจตีบลดลง ลดการจับตัวของเกร็ดเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต ลดการเสียงของหลอดเลือดอุดตัน
         
         ชาเขียว โดยไฟโตนิวเทรียนท์กลุ่มฟาโวนอยด์ในชาเขียวทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งออกซิไดซ์ของแอลดีแอลและคอเลสเตอรอล ซึ่งส่งผลดีต่อการชะลอการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและลดการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันเฉียบพลันจากลิ่มเลือด

          วิตามินบีคอมเพล็กซ์  กลุ่มวิตามินบี 3 หรือไนอาซีน วิตามินบี 6 วิตามินบี 12และโฟเลตช่วยลดปริมาณสารฮอโมซีสเทอีนซึ่งเป็นสารที่บ่งชี้ปัญหาการอักเสบภายในหลอดเลือดนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีไม่ทำให้หัวใจขาดเลือด

          เลซิติน มีอยูในถั่วเหลืองที่จะมีบทบาทต่อการลดอัตราความเสี่ยงของโรคหัวใจคือ ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในทางเดินอาหาร รวมถึงช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลในเลือดให้สะดวกขึ้น จึงลดความเสี่ยงของคอเลสเตอรอลที่เกาะตามผนังหลอดเลือดได้

         โคเอนไซม์ คิวเท็น จากเนื้อสัตว์ ถั่วเปลือกแข็ง บล็อคโครี่ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง สามารถลดอาการภาวะหัวใจล้มเหลวได้ และช่วยเพิ่มการส่งเลือดออกจากหัวใจได้มากขึ้น และยังมีบทบาทสำคัญมากในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยจำกัดปริมาณของไขมันที่จะไปสะสมบนผนังหลอดเลือด
 
อย่างไรก็ตาม การบริโภคสารอาหารให้ได้ครบทั้ง 6 ชนิด จะช่วยดูแลและถนอมหัวใจ...ของคุณ หมั่นดูแลหัวใจของคุณให้แข็งแรงด้วยสารอาหารทั้ง 6 และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อให้หัวใจเต้นอยู่กับเราตราบนานเท่านาน         

คลิ๊กดูใน youtube ได้ที่นี่ค่ะ : 6 ฮีโร่ผู้ดูแลหัวใจคุณ

ขอบคุณภาพจาก http://www.motoslam.com/

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"บุญ"

วันนี้เอาบุญมาฝากกันเห็นๆ ไม่เชื่อก็ลองอ่านดู พอดีอ่านเจอเรื่องดีๆก็เลยอยากให้คนอื่นได้อ่านบ้าง ทุกวันนี้ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดคิดว่าการทำบุญคือ การตักบาตร ถวายทรัพย์ ถวายสังฆทาน ถวายของต่างๆ เพียงเท่านี้
บุญ หรือ ปุญญ แปลว่าชำระ หมายถึง การทำให้หมดจด จากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ  ที่จริงแล้วเราสามารถสร้างบุญ ได้มากถึง ๑๐ วิธี ดังจะกล่าวต่อไปนี้

บุญ ๑๐ วิธี
ตามหลักพุทธศาสนา มีการทำบุญด้วยกัน ๑๐ วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ) คือ

๑. ให้ทาน  คือการให้ เช่นตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายของต่างๆ เป็นต้นหรือแบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ (ทานมัย) การให้ทานเป็นการช่วยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดยึดในวัตถุ ถือเป็นจาคะ
(แต่มีการให้ที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น)

๒. รักษาศีล ก็เป็นบุญ (ศีลมัย) เป็นการฝึกฝนที่จะ ลด ละ เลิกความชั่ว ไม่ไปเบียดเบียนใคร มุ่งที่จะทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล ๕ และอุโบสถศีล(ศีล๘)

๓. เจริญภาวนา ก็เป็นบุญ (ภาวนามัย) การภาวนาเป็นการพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีเรื่องเศร้าหมอง เห็นคุณค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ส่วนการนั่งวิปัสสนา (สติรู้ถึงรูป-นาม)เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา


๔. อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงออกในความมีเมตตาต่อผู้น้อย และต่างก็อ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรมรวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกันทั้งในความคิด ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของบุคคลและสังคมอื่น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ก็เป็นบุญ (อปจายนมัย)

๕. ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ช่วยเหลือสละแรงกาย เพื่องานส่วนรวม หรือช่วยงานเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็เป็นบุญ (ไวยาวัจจมัย)

๖. เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือในการทำงานก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมีส่วนร่วมทำ ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ก็เป็นบุญ (ปัตติทานมัย)

๗. ยอมรับและยินดีในการทำความดี หรือทำบุญของผู้อื่น การชื่นชมยินดีหรืออนุโมทนาไม่อิจฉาหรือระแวงสงสัยในการกระทำความดีของผู้อื่น ก็เป็นบุญ (ปัตตานุโมทนามัย)

๘. ฟังธรรม บ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว ฟังธรรมะ ฟังเรื่องที่ดีมีประโยชน์ต่อสติปัญญา หรือมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ (ธรรมสวนมัย)

๙. แสดงธรรม ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น แสดงธรรมนำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงามก็เป็นบุญ (ธรรมเทศนามัย)

๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม มีการปรับทิฏฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม เป็นสัมมาทัศนะอยู่เสมอ เป็นการพัฒนาปัญญาอย่างสำคัญ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามความหมายและความมุ่งหมาย พร้อมทั้งได้ผลถูกทาง ถือเป็นบุญด้วยเช่นกัน (ทิฏฐุชุกรรม)

การทำบุญ ๑๐ ประการนี้ สามารถสรุปเป็นข้อความคล้องจองกันว่า

๑. แบ่งปันกันกิน       ๒. รักษาศีล คือ กาย วาจา   ๓. เจริญสมาธิภาวนา   ๔. กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
๕. ยอมตนรับใช้        ๖. แบ่งให้ความดี              ๗. มีใจอนุโมทนา         ๘. ใฝ่หาฟังธรรม
๙. นำแสดงออกไม่ได้เว้น  ๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้อง

จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์ อีก ๙ ข้อล้วนไม่ต้องใช้
รู้ว่าบุญทำได้ อย่างนี้แล้ว วันนี้คุณทำบุญแล้วหรือยัง?