วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ธาตุกรรมฐาน ตามพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค..



...ภิกษุ ในพระธรรมวินัยนี้ กำหนดอาการที่กระด้างในส่วน ๒๐ ว่า ปฐวีธาตุ กำหนดอาการที่เอิบอาบได้แก่น้ำ ซึ่งถึงความซึมแทรกในส่วน ๑๒ ว่า อาโปธาตุ กำหนดไฟที่ให้ย่อยในส่วน ๔ ว่า เตโชธาตุ กำหนดการกระพึดพัดในส่วนทั้ง ๖ ว่า วาโยธาตุ เมื่อเธอกำหนดอยู่อย่างนี้ ธาตุย่อมปรากฏ เมื่อรำพึงในใจถึงธาตุเหล่านั้นอยู่บ่อย ๆ อุปจารสมาธิย่อมเกิดตามนัยที่กล่าวแล้วแล

ก็เมื่อพระโยคีใดเจริญอยู่อย่างนี้กรรมฐานไม่สำเร็จ พระโยคีนั้นพึงเจริญโดยจำแนกออกไปพร้อมทั้งเครื่องปรุง คืออย่างไร ? คือภิกษุนั้นไม่พึงยังอุคคหโกศลโดยส่วน ๗ และมนสิการโกศลโดยส่วน ๑๐ ซึ่งกล่าวไว้แล้วในกายคตาสติกัมมัฏฐานนิเทศนั้น ทั้งหมดไม่ให้บกพร่อง ทำการสาธยายด้วยวาจาโดยอนุโลมและปฏิโลม ทำตจปัญจกะเป็นต้นให้เป็นเบื้องต้น แล้วพึงทำวิธีดังที่กล่าวแล้วในกรรมฐานนั้นทั้งหมด

แต่ที่แปลกกันมีอย่างนี้ คือในกายคตาสตินั้น แม้ใฝ่ใจผมเป็นต้นด้วยอำนาจสี, สัณฐาน, ทิศ, โอกาส, ปริจเฉทแล้ว พึงตั้งใจกำหนดด้วยสามารถความเป็นของปฏิกูลอีก แต่ในที่นี้พึงตั้งใจด้วยสามารถความเป็นธาตุ

เพราะเหตุนั้น พึงใฝ่ใจผมเป็นต้นอย่างละ ๕ ๆ ด้วยสามารถสีเป็นต้น แล้วจึงยังมนสิการให้เป็นไปอย่างนี้ในอวสาน ใจความว่า

๑. ปฐวีธาตุ

๑. ชื่อว่าผมเหล่านี้ เกิดที่หนังหุ้มกะโหลกศีรษะ พึงกำหนดในผมเหล่านั้นว่า เมื่อหญ้ากุณฐะ หญ้าที่แข็งเกิดบนยอดจอมปลวก จอมปลวกหารู้ไม่ว่า หญ้ากุณฐะเกิดบนเรา แม้หญ้ากุณฐะก็หารู้ไม่ว่า เราเกิดบนจอมปลวก ฉันใด หนังหุ้มกะโหลกศีรษะก็เช่นกัน หารู้ไม่ว่าผมเกิดในเรา แม้ผมก็หารู้ไม่ว่าเราเกิดบนหนังหุ้มกะโหลกศีรษะ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่า ผมทั้งหลาย ชื่อว่า ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๒. ขนเกิดในหนังหุ้มสรีระ พึงกำหนดในขนเหล่านั้นว่า เมื่อหญ้าแพรกเกิด ในสถานที่บ้านร้าง สถานที่บ้านร้างหารู้ไม่ว่าหญ้าแพรก เกิดที่เรา แม้หญ้าแพรกก็หารู้ไม่ว่า เราเกิดในสถานที่บ้านร้าง ฉันใด หนังหุ้มสรีระก็เช่นกัน หารู้สึกไม่ว่าขนเกิดในเรา แม้ขนก็หารู้ไม่ว่าเราเกิดในหนังหุ้มสรีระ ธรรมเหล่านี้เว้นเล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าขนทั้งหลาย ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๓. เล็บเกิดที่ปลายนิ้วมือ พึงกำหนดในเล็บนั้นว่า เมื่อเด็กเอาไม้เรียวแทงเมล็ดมะทรางเข้าไปแล้วเล่นอยู่ ไม้เรียวหารู้ไม่ว่าเมล็ดมะทรางตั้งอยู่ในเรา แม้เมล็ดมะทรางก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่ที่ปลายไม้เรียว ฉันใด นิ้วมือทั้งหลายก็เช่นกัน ย่อมไม่รู้ว่าเล็บเกิดที่ปลายนิ้วทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเล็บทั้งหลาย ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๔. ฟันเกิดที่กระดูกคาง พึงกำหนดในฟันนั้นว่า เมื่อซี่ไม้ที่พวกนายช่างเอายางเหนียวชนิดใดชนิดหนึ่งติดตั้งไว้บนครกหิน ครกหารู้ไม่ว่าซี่ไม้ตั้งอยู่บนเรา แม้ซี่ไม้ก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนครกดังนี้ ฉันใด กระดูกคางก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าฟันเกิดในเรา แม้ฟันก็หารู้ไม่ว่าเราเกิดที่กระดูกคาง ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าฟันทั้งหลาย ดังบรรยายมานี้ คือส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนั้น เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๕. หนังตั้งหุ้มอยู่ทั่วสรีระ พึงกำหนดในหนังนั้นว่า เมื่อพิณใหญ่หุ้มด้วยหนังโคอ่อน พิณใหญ่หารู้ไม่ว่าหนังโคอ่อนหุ้มเราไว้ แม้หนังโคอ่อนก็หารู้ไม่ว่า เราหุ้มพิณใหญ่ไว้ ฉันใด สรีระก็หารู้ไม่ว่าหนังหุ้มเราไว้ แม้หนังก็หารู้ไม่ว่าเราหุ้มสรีระไว้ ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าหนัง ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๖. เนื้อตั้งฉาบร่างกระดูก พึงกำหนดในเนื้อนั้นว่า เหมือนเมื่อฝาถูกฉาบด้วยดินเหนียวหนา ฝาหารู้ไม่ว่าเราอันดินเหนียวฉาบทาแล้ว แม้ดินเหนียวหนาก็หารู้ไม่ว่าเราฉาบทาแล้ว ฉันใด ร่างกระดูกก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าเราอันเนื้อมีประเภท ๙๐๐ ชิ้นฉาบแล้ว แม้เนื้อก็หารู้ไม่ว่าเราฉาบร่างกระดูกไว้ ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเนื้อ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๗. เอ็นตั้งรึงรัดกระดูกในภายในอยู่ พึงกำหนดในเอ็นนั้นว่า เหมือนเมื่อไม้ฝาอันบุคคลมัดแล้วด้วยเถาวัลย์ ไม้ฝาหารู้ไม่ว่าเราอันเถาวัลย์รัด แล้ว แม้เถาวัลย์ก็หารู้ไม่ว่า เรารัดไม้ฝาแล้ว ฉันใด กระดูกทั้งหลายก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าเอ็นรัดรึงเราไว้ แม้เอ็นทั้งหลายก็หารู้ไม่ว่าเรารัดกระดูกไว้ ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเอ็น ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มี เจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๘. ในจำพวกกระดูกทั้งหลาย กระดูกส้นเท้ายกกระดูกข้อเท้าทูนไว้ กระดูกข้อเท้ายกกระดูกแข้งทูนไว้ กระดูกแข้งยกกระดูกขาทูนไว้ กระดูกขายกกระดูกสะเอวทูนไว้ กระดูกสะเอวยกกระดูกสันหลังทูนไว้ กระดูกสันหลังยกกระดูกคอทูนไว้ กระดูกคอยกกระดูกศีรษะทูนไว้ กระดูกศีรษะตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า พึงกำหนดในกระดูกเหล่านั้นว่า ในบรรดาเครื่องก่อที่สำเร็จด้วยอิฐ ไม้หรือโคมัยเป็นต้น สัมภาระตอนล่าง ๆ หารู้ไม่ว่า เรายกสัมภาระข้างบน ๆ ทูนไว้ แม้สัมภาระข้างบน ๆ ก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่เหนือสัมภาระตอนล่างๆ ฉันใด กระดูกทั้งหลายก็ฉันนั้น คือ กระดูกส้นเท้าก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกข้อเท้าทูนไว้ กระดูกข้อเท้าก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกแข้งทูนไว้ กระดูกแข้งก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกขาทูนไว้ กระดูกขาก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกสะเอวทูนไว้ กระดูกสะเอวก็หารู้ไม่เรายกกระดูกสันหลังทูนไว้ กระดูกสันหลังก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกคอทูนไว้ กระดูกคอก็หารู้ไม่ว่าเรายกกระดูกศีรษะทูนไว้ กระดูกศีรษะก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกขา กระดูกขาก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่นบกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่ากระดูก ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๙. เยื่อในกระดูก ตั้งอยู่ภายในแห่งกระดูกนั้น ๆ พึงกำหนดในเยื่อนั้นว่าในวัตถุเป็นต้นว่า ยอดหวายที่บุคคลผู้หนึ่งใส่เข้าไปภายในปล้องไม้ไผ่เป็นต้น ปล้องไม้ไผ่ก็หารู้ไม่ว่ายอดหวายเป็นต้นเขาใส่เข้าแล้วในเรา แม้ยอดหวายเป็นต้นก็หารู้ไม่ว่าเราอยู่ในปล้องไม้ไผ่เป็นต้น ฉันใด กระดูกทั้งหลายก็ฉันนั้น ก็หารู้ไม่ว่าเยื่ออยู่ในภายในเราทั้งหลาย แม้เยื่อก็หารู้ไม่ว่าเราอยู่ภายในกระดูก ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเยื่อในกระดูก ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งในเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๐. ไตคลุมเนื้อหัวใจ เส้นเอ็นใหญ่ที่ออกจากลำคออันมีโคน ๆ เดียว ไปได้หน่อยหนึ่งแล้วแยกออกเป็น ๒ รัดรึงไว้ ตั้งคลุมเนื้อหัวใจไว้ พึงกำหนดในไตนั้นว่า ในผลมะม่วง ๒ ผลที่ขั้วติดกัน ขั้วหารู้ไม่ว่าเรายึดมะม่วง ๒ ผลไว้ แม้มะม่วง ๒ ผลก็หารู้ไม่ว่าขั้วยึดเราไว้ ฉันใด เส้นเอ็นใหญ่ก็ฉันนั้น ก็หารู้ไม่ว่าเรายึดไตไว้ แม้ไตก็หารู้ไม่ว่า เส้นเอ็นใหญ่ยึดเราไว้ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าไตดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๑. หัวใจอยู่อาศัยท่ามกลางหลืบแห่งกระดูกอกในภายในสรีระ พึงกำหนดในหัวใจนั้นว่า ในชิ้นเนื้อตั้งอาศัยอยู่ที่ภายในหลืบท้องกะทะเก่า หลืบท้องกะทะเก่าหารู้ไม่ว่าชิ้นเนื้อต้องอาศัยเราอยู่ แม้ชิ้นเนื้อก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอาศัยอยู่ในหลืบท้องกระทะเก่าอยู่ ฉันใด ภายในหลืบกระดูกอกก็หารู้ไม่ว่า หัวใจตั้งอาศัยเราอยู่ แม้หัวใจก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอาศัยภายในกระดูกอกอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าหัวใจ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๒. ตับตั้งอาศัยข้างขวาในระหว่างนมทั้ง ๒ ในภายในสรีระ พึงกำหนดในตับนั้นว่า ในก้อนเนื้อทั้งคู่ที่ติดอยู่ที่ข้างกระเบื้องหม้อ ข้างกระเบื้องหม้อหารู้ไม่ว่า ก้อนเนื้อทั้งคู่ติดแล้วในเรา แม้ก้อนเนื้อทั้งคู่ก็หารู้ไม่ว่า เราติดอยู่ที่ข้างกระเบื้องหม้อฉันใด ข้างขวาระหว่างนมก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่า ตับตั้งอาศัยเราอยู่ แม้ตับก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอาศัยข้างขวาในระหว่างนมอยู่ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าตับ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๓. บรรดาพังผืดทั้งหลาย พังผืดที่ปกปิดตั้งหุ้มหัวใจและไตอยู่ พังผืดที่ไม่ปกปิดรวบรัดเนื้อภายใต้หนัง ในสรีระทั้งสิ้น พึงกำหนดในพังผืดนั้นว่า ในเนื้อที่บุคคลเอาผ้าเก่าห่อไว้ เนื้อหารู้ไม่ว่า เราถูกผ้าเก่าพันไว้ แม้ผ้าเก่าก็หารู้ไม่ว่า เราพันเนื้อไว้ฉันใด ไตและหัวใจและเนื้อในสรีระทั้งสิ้น ก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่า พังผืดปกปิดเราไว้ แม้พังผืดก็หารู้ไม่ว่า เราปกปิดไตหัวใจและเนื้อในสรีระทั้งสิ้นไว้ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าพังผืด ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๔. ม้ามตั้งอาศัยข้างที่สุดแห่งกระพุ้ง ท้องในข้างซ้ายแห่งหัวใจ พึงกำหนดในม้ามนั้นว่า ในก้อนโคมัยตั้งอาศัยที่สุดฉาง ข้างที่สุดฉางก็หารู้ไม่ว่า ก้อนโคมัยตั้งอาศัยเราอยู่ ก้อนโคมัยก็หารู้ไม่ว่า เราแนบติดข้างที่สุดฉางอยู่ฉันใด ข้างที่สุดกระพุ้งท้องก็หารู้ไม่ว่า ม้ามแนบเราอยู่ แม้ม้ามก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งแนบข้างที่สุดแห่งกระพุ้งท้องอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและ พิจารณากันและกัน ชื่อว่าม้าม ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๕. ปอดตั้งห้อยปกอยู่เบื้องบนหัวใจและ ตับ ในระหว่างนมทั้ง ๒ ในภายในสรีระ พึงกำหนดในปอดนั้นว่า ในรังนกที่ห้อยอยู่ในฉางเก่า ภายในฉางเก่าหารู้ไม่ว่า รังนกห้อยอยู่ในเรา แม้รังนกก็หารู้ไม่ว่า เราห้อยอยู่ภายในฉางเก่า ฉันใด ภายในสรีระก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าปอดห้อยอยู่ในเรา แม้ปอดก็หารู้ไม่ว่า เราห้อยอยู่ภายในสรีระเห็นปานนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจ และพิจารณากันและกัน ชื่อว่าปอด ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ ส่วนเฉพาะตัวในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๖. ไส้ใหญ่ตั้งอยู่ภายในสรีระ มีหลุมคอและเวจมรรคเป็นที่สุด พึงกำหนด ในไส้ใหญ่นั้นว่า ฉันเดียวกับซากงูที่เขาตัดศีรษะวางขดไว้ในรางเลือด รางเลือดหารู้ไม่ว่า ซากงูตั้งอยู่ในเรา แม้ซากงูก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่ในรางเลือดฉันใด ภายในสรีระก็หารู้ไม่ว่า ไส้ใหญ่ตั้งอยู่ในเรา แม้ไส้ใหญ่ก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่ภายในสรีระฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าไส้ใหญ่ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๗. ไส้น้อยพันขนดไส้ใหญ่ ๒๑ ขนด ตั้งอยู่ในระหว่าง ๆ ไส้ใหญ่นั้น ๆ พึงกำหนดในไส้น้อยนั้นว่า ในเชือกเล็กที่ร้อยขนดสำหรับเช็ดเท้า ขนดเชือกสำหรับเช็ดเท้าหารู้ไม่ว่า เชือกน้อยตั้งร้อยรัดเราไว้ แม้เชือกน้อยก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งร้อยยึดขนดเชือกสำหรับเช็ดเท้าไว้ฉันใด ไส้ใหญ่ก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าไส้น้อยร้อยรัดเราไว้ แม้ไส้น้อยก็หารู้ไม่ว่า เราร้อยรัดไส้ใหญ่ไว้ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าไส้น้อย ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระ้ด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๘. อาหารใหม่ ได้แก่ของรับประทานของเคี้ยวของลิ้ม ซึ่งอยู่ในท้อง พึงกำหนดในอาหารใหม่นั้นว่า ในรากสุนัข อันตั้งอยู่ในรางสุนัข รางสุนัขหารู้ไม่ว่า รากสุนัขอยู่ในเรา แม้รากสุนัขก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่ในรางสุนัขฉันใด ท้องก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่า อาหารใหม่อยู่ในเรา แม้อาหารใหม่ก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในท้อง ธรรมเหล่านี้ เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าอาหารใหม่ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๑๙. อาหารเก่าตั้งอยู่ในที่สุดไส้ใหญ่ อันเป็นเช่นเดียวกับปล้องไม่ไผ่ยาว ประมาณ ๘ นิ้ว กล่าวคือกระเพาะอาหารเก่า พึงกำหนดในอาหารเก่านั้นว่า ในดินเหลืองละเอียด ซึ่งบุคคลขยำใส่ในปล้องไม้ไผ่ ปล้องไม่ไผ่ก็หารู้ไม่ว่า ดินเหลืองอยู่ในเรา แม้ดินเหลืองก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในปล้องไม้ไผ่ฉันใด กระเพาะอาหารเก่าก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าอุจจาระอยู่ในเรา แม้อุจจาระก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในกระเพาะ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าอุจจาระ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๒๐. มันสมองอยู่ในภายในกระโหลกศีรษะ พึงกำหนดในมันสมองนั้นว่าในก้อนแป้งที่เขาใส่ในกะโหลกน้ำเต้าเก่า กะโหลกน้ำเต้าเก่าหารู้ไม่ว่าก้อนแป้ง อยู่ในเรา แม้ก้อนแป้งก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในกะโหลกน้ำเต้าฉันใด ภายในกะโหลกศีรษะก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่ามันสมองอยู่ในเรา แม้มันสมอง ก็หารู้ไม่ว่าอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่ามันสมอง ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ แข็งกระด้าง จัดเป็นปฐวีธาตุ

๒. อาโปธาตุ

๒๑. บรรดาดีทั้งหลาย ดีไม่เป็นฝักซาบซ่านตั้งอยู่ทั่วสรีระ ซึ่งเนื่องด้วยชีวิตินทรีย์ ดีที่เป็นฝักอยู่ในฝักดี พึงกำหนดในดีนั้นว่า น้ำมันที่ซึมซาบขนม ขนมหารู้ไม่ว่า น้ำมันซึมซาบเราอยู่แล้ว แม้น้ำมันก็หารู้ไม่ว่า เราซึมซาบขนมอยู่แล้ว ฉันใด สรีระก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าดีไม่เป็นฝักซึมซาบเราอยู่ แม้ดีที่ไม่เป็นฝักก็หารู้ไม่ว่าเราซึม ซาบสรีระอยู่ ในรังบวบขมซึ่งเต็มด้วยน้ำฝน รังบวบขมหารู้ไม่ว่า น้ำฝนอยู่ในเรา แม้น้ำฝนก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในรังบวบขม ฉันใด ฝักดีก็ฉันนั้น หารู้ไม่ว่าดีที่เป็นฝักอยู่ในเรา แม้ดีที่เป็นฝักก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในฝักดี ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าดี ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๒. เสลดประมาณเต็มบาตรหนึ่ง ตั้งอยู่ในกระพุ้งท้อง พึงกำหนดในเสลดนั้นว่า ในบ่อน้ำครำซึ่งเกิดเป็นฟองเป็นฝาฟอดในเบื้องบน บ่อน้ำครำหารู้ไม่ว่าฟองฝาตั้งอยู่ในเรา แม้ฟองฝาก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่ในบ่อน้ำครำ ฉันใด กระพุ้งท้องก็หารู้ไม่ว่าเสลดอยู่ในเรา แม้เสลดหารู้ไม่ว่า เราอยู่ในพื้นท้อง ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเสลด ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๓. หนองไม่มีโอกาสที่อยู่เป็นนิจ โลหิตตั้งห้อขึ้นในส่วนแห่งสรีระใด ๆ อันตอหรือหนามตำ หรือเปลวไฟเป็นต้นลวกแล้ว หรือฝีและต่อมเป็นต้น ย่อมเกิดในส่วนแห่งสรีระใด หนองก็ตั้งขึ้นในส่วนแห่งสรีระนั้น ๆ พึงกำหนดในหนองนั้นว่า ในต้นไม้มียางไหลออกแล้ว ด้วยสามารถถูกฟันด้วยขวานเป็นต้น ส่วนที่ถูกฟันเป็นต้นแห่งต้นไม้ หารู้ไม่ว่ายางตั้งอยู่ในเรา แม้ยางก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่ใส่วนที่ถูกฟันเป็นต้นแห่งต้นไม้ฉันใด ส่วนแห่งร่างกายที่ถูกตอและหนามเป็นต้นทิ่มตำก็หารู้ไม่ว่าหนองตั้งอยู่ในเรา แม้หนองก็หารู้ไม่ว่าเราอยู่ในส่วนเหล่านั้นฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าหนองดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๔. บรรดาเลือดทั้งหลาย เลือดที่ฉีดซ่านไปตั้งอยู่ทั่วสรีระทั้งสิ้นดุจดี เลือดที่ขังเต็มพื้นล่างแห่งฐานเป็นต้น มีประมาณเต็มบาตรหนึ่ง ยังม้าม หัวใจ ตับ ปอด ให้ชุ่มอยู่ ในเลือด ๒ ชนิดนั้น เลือดที่ฉีด มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับดีไม่มีฝักนั่นเอง ฝ่ายเลือดอีกชนิดหนึ่งพึงกำหนดว่า ในน้ำอันบุคคลรดแล้วที่กระเบื้องผุเก่ายังก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นในภายใต้ให้ชุ่มอยู่ ก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นหารู้ไม่ว่า เราอันน้ำให้เปียกชุ่มอยู่ แม้น้ำก็หารู้ไม่ว่า เรายังก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นให้ชุ่มอยู่ ฉันใด ที่เป็นส่วนภายใต้แห่งตับหรือม้ามเป็นต้นหารู้ไม่ว่าเลือดอยู่ในเราหรือยังเราให้ชุ่มอยู่ แม้เลือดก็หารู้ไม่ว่า เรายังส่วนใต้แห่งตับให้เต็มแล้ว ยังม้ามเป็นต้นให้ชุ่มอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าเลือด ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๕. เหงื่อตั้งอยู่เต็มช่องขุมผมและขน และหลั่งออกในเวลาร้อนอบอ้าวเพราะไฟ เป็นต้น พึงกำหนดในเหงื่อนั้นว่า ในกำแห่งก้านบัว ภิส มุฬาล กุมุท ซึ่งพอยกขึ้นแล้วจากน้ำ ช่องในกำบัวมีนามว่า ภิส เป็นต้นหารู้ไม่ว่าน้ำหลั่งออกจากเรา แม้เหงื่อก็หารู้ไม่ว่า เราหลั่งออกจากช่องแห่งขุมผมและขนฉันนั้น ธรรมเหล่านี้ เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและ กัน ชื่อว่าเหงื่อ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๖. มันข้นได้แก่มันที่แข้น สำหรับคนอ้วนแผ่ไปตั้งอยู่ทั่วสรีระ สำหรับคนผอมตั้งอาศัยเนื้อแข้งเป็นต้น พึงกำหนดในมันข้นนั้นว่า ในกองเนื้อบุคคลปิดไว้ด้วยผ้าเก่าที่ย้อมขมิ้น กองเนื้อหารู้ไม่ว่า ผ้าเก่าที่ย้อมขมิ้นอาศัยปิดเราไว้ แม้ผ้าเก่าที่ย้อมขมิ้นก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอาศัยกองเนื้ออยู่ฉันใด เนื้อในสรีระทั้งสิ้นหรือที่แข้งเป็นต้นก็หารู้ไม่ว่ามันข้นอาศัยเราตั้งอยู่ ทั้งมันข้นก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยเนื้อในสรีระทั้งสิ้น หรือที่แข้งเป็นต้นตั้งอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่ามันข้นดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นยางแข้น มีอาการเอิบอาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๗. น้ำตาในเวลาที่เกิด ย่อมขังเต็มกระบอกตาหรือหลั่งไหลออกมา พึงกำหนดในน้ำตานั้นว่า ฉันเดียวกับเต้าเมล็ดตาลอ่อนซึ่งเต็มด้วยน้ำ เต้าเมล็ดตาลอ่อนหารู้ไม่ว่า น้ำอยู่ในเรา แม้น้ำในเต้าเมล็ดตาลอ่อนก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในเต้าเมล็ดตาลอ่อนฉันใด กระบอกตาก็หารู้ไม่ว่า น้ำตาอยู่ในเรา แม้น้ำตาก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในกระบอกตาฉันนั้นธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจาร ณากันและกัน ชื่อว่าน้ำตา ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการเอิบอาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๘. มันเหลวได้แก่มันใส ซึ่งตั้งอยู่ที่ฝ่ามือ หลังมือ หลังเท้า ปลายจมูก หน้าผาก และจงอยบ่า ในเวลาที่ร้อนอบอ้าวเพราะไฟเป็นต้น พึงกำหนดในมันเหลวนั้นว่า ในน้ำข้าวซึ่งใส่น้ำมันลงไป น้ำข้าวหารู้สึกไม่ว่า น้ำมันท่วมเราตั้งอยู่ แม้น้ำมันก็หารู้สึกไม่ว่า เราท่วมน้ำข้าวตั้งอยู่ฉันใด ประเทศมีฝ่ามือเป็นต้น หารู้ไม่ว่า มันเหลวท่วมทับเราตั้งอยู่ แม้มันเหลวก็หารู้ไม่ว่า เราท่วมทับประเทศมีฝ่ามือเป็นต้นตั้งอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและ พิจารณากันและกัน ชื่อว่ามันเหลว ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการเอิบอาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๒๙. น้ำลาย เมื่อปัจจัยซึ่งก่อให้เกิดน้ำลายเห็นปานนั้นมีอยู่ หลั่งลงมาจากกระพุ้งแก้มทั้งสอง แล้วตั้งอยู่ที่พื้นลิ้น พึงกำหนดในน้ำลายนั้นว่า ในหลุมใกล้ฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีน้ำไหลมามิได้ขาด พื้นหลุมหารู้ไม่ว่าน้ำตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่บนพื้นหลุม ฉันใด พื้นลิ้นก็หารู้ไม่ว่า น้ำลายลงจากกระพุ้งแก้มทั้งสองตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำลายก็หารู้ไม่ว่า เราหลั่งลงมาจากกระพุ้งแก้มทั้งสองตั้งอยู่ในที่พื้นลิ้นฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าน้ำลาย ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๓๐. น้ำมูกในเวลาที่เกิด ย่อมยังจมูกให้เต็มอยู่หรือหลั่งออก พึงกำหนดในน้ำมูกนั้นว่า ช้อนเต็มด้วยนมส้มเน่า ช้อนหารู้ไม่ว่านมส้มเน่าตั้งอยู่ใน เรา แม้นมส้มเน่าก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในช้อนฉันใด ช่องจมูกก็หารู้ไม่ว่า น้ำมูกตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำมูกก็หารู้ไม่ว่า เราอยู่ในช่องจมูกนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าน้ำมูก ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น จัดเป็นอาโปธาตุ

๓๑. ไขข้อ ยังกิจคือการหยอดที่ต่อแห่งกระดูกทั้งหลายให้สำเร็จ ตั้งอยู่ในที่ต่อ ๑๘๐ แห่ง พึงกำหนดในไขข้อนั้นว่า ในเพลาอันนายช่างหยอดแล้วด้วยน้ำมัน เพลาหารู้ไม่ว่า น้ำมันหยอดทาเราตั้งอยู่ แม้น้ำมันก็หารู้ไม่ว่า เราหยอดทาเพลาตั้งอยู่ ฉันใด ที่ต่อ ๑๘๐ แห่ง ก็หารู้ไม่ว่าไขข้อหยอดทาเราตั้งอยู่ แม้ไขข้อก็หารู้ไม่ว่า เราหยอดทาที่ต่อ ๑๘๐ แห่ง ตั้งอยู่ฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใสใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่าไขข้อ ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๓๒. มูตรตั้งอยู่ในภายในกระเพาะเบา พึงกำหนดในมูตรนั้นว่า ในหม้อเนื้อห่างที่บุคคลคว่ำปากไว้ในน้ำครำ หม้อเนื้อก็หารู้ไม่ว่ารสแห่งนำครำตั้งอยู่ในเรา แม้รสแห่งน้ำครำก็หารู้ไม่ว่าเราตั้งอยู่ในหม้อเนื้อห่าง ฉันใด กระเพาะเบาหารู้ไม่ว่า มูตรตั้งอยู่ในเรา แม้มูตรก็หารู้ไม่ว่า เราตั้งอยู่ในกระเพาะเบาฉันนั้น ธรรมเหล่านี้เว้นแล้วจากการใส่ใจและพิจารณากันและกัน ชื่อว่ามูตร ดังบรรยายมานี้ ได้แก่ส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ เป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบ จัดเป็นอาโปธาตุ

๓. เตโชธาตุ

พระโยคีครั้นยังมนสิการให้เป็นไปในผมเป็นต้น อย่างนี้แล้วพึงยังมนสิการให้เป็นไปในส่วนแห่งเตโชธาตุทั้งหลายอย่างนี้ว่า สิ่งใดเป็นเหตุให้กายอบอุ่น สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ มีอาการร้อนผะผ่าว จัดเป็นเตโชธาตุ สิ่งใดเป็นเหตุให้คร่ำคร่า ฯลฯ เป็นเหตุให้ไหม้ ฯลฯ เป็นเหตุให้ของกิน – ของดื่ม – ของเคี้ยว – ของลิ้มย่อยโดยชอบ สิ่งนี้จัดเป็นส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ มีอาการร้อน จัดเป็นเตโชธาตุ

๔. วาโยธาตุ

แต่นั้นพึงกำหนดลมที่พัดขึ้นเบื้องบนด้วยสามารถลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำด้วยสามารถลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมพัดอยู่ในท้องด้วยสามารถลมพัดอยู่ในท้อง ลมพัดอยู่ในไส้ ด้วยสามารถลมพัดอยู่ในไส้ ลมพัดตามร่างกายด้วยสามารถลมพัดตามร่างกาย ลมหายใจออกเข้าด้วยสามารถลมหายใจออกเข้า แล้วจึงยังมนสิการให้เป็นไปในส่วนแห่งวาโยธาตุ อย่างนี้ว่า ชื่อว่าลมพัดขึ้นเบื้องบน คือส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ มีอาการให้เคลื่อนไหว จัดเป็นวาโยธาตุ ชื่อว่าลมพัดลงเบื้องต่ำ ฯลฯ ชื่อว่าลมพัดอยู่ในท้อง ฯลฯ ชื่อว่าลมพัดอยู่ตามลำไส้ ฯลฯ ชื่อว่าลมพัดอยู่ตามร่างกาย ฯลฯ ชื่อว่าลมหายใจเข้าออก คือส่วนหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า มิใช่สัตว์ มีอาการเคลื่อนไหว จัดเป็นวาโยธาตุ

เมื่อพระโยคีนั้นมีมนสิการเป็นไปอย่างนี้ ธาตุทั้งหลายย่อมปรากฏ เมื่อเธอนึกถึงใฝ่ใจธาตุเหล่านั้นบ่อย ๆ อุปจารสมาธิย่อมเกิด ตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล

ก็เมื่อพระโยคีได้เจริญอย่างนี้ กรรมฐานไม่สำเร็จ พระโยคีนั้นพึงเจริญโดยย่อพร้อมทั้ง ลักษณะ เจริญอย่างไร ? คือต้องกำหนดว่า สิ่งที่มีลักษณะกระด้างในส่วน ๒๐ จัดเป็นปฐวีธาตุ สิ่งที่มีลักษณะเอิบอาบในส่วน ๒๐ เหล่านั้น จัดเป็นอาโปธาตุ สิ่งที่มีลักษณะให้อบอุ่น จัดเป็นเตโชธาตุ สิ่งที่มีลักษณะพัดไปมา จัดเป็นวาโยธาตุ

พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะเอิบอาบ ในส่วน ๑๒ ว่าเป็นอาโปธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะอบอุ่นในส่วน ๑๒ นั้นว่าเป็นเตโชธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะพัดไปมาในส่วน ๑๒ เหล่านั้น ว่าเป็นวาโยธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะกระด้างในส่วน ๑๒ เหล่านั้น ว่าเป็นปฐวีธาตุ

พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะอบอุ่นในส่วนทั้ง ๔ ว่าเป็นเตโชธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะพัดไปมาอันเตโชนั้นไม่แยกแล้ว ว่าเป็นวาโยธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะกระด้างว่าเป็นปฐวีธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะเอิบอาบ ว่าเป็นอาโปธาตุ

พึงกำหนดสิ่งซึ่งมีลักษณะพัดไปมา ในส่วนทั้ง ๖ ว่าเป็นวาโยธาตุ พึงกำหนดสิ่งซึ่งมีลักษณะกระด้างในส่วนเหล่านั้นว่าเป็นปฐวีธาตุ พึงกำหนดสิ่งที่มีลักษณะซึมซาบว่าเป็นอาโปธาตุ พึงกำหนดสิ่งซึ่งมีลักษณะอบอุ่น ว่าเป็นเตโชธาตุ

มีต่อ ตอน ๒...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น