วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ธาตุกรรมฐาน ตามพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค..(ตอน ๒)


(ต่อ)...

เมื่อพระโยคีนั้นพึงกำหนดอยู่อย่างนี้ ธาตุทั้งหลายย่อมจะปรากฏ เมื่อเธอนึกใฝ่ใจธาตุเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ อุปจารสมาธิย่อมเกิดตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล

ก็เมื่อพระโยคีใดเจริญอยู่แม้อย่างนี้ กรรมฐานไม่สำเร็จ พระโยคีนั้นต้องเจริญ โดยแยกพร้อมทั้งลักษณะ จะเจริญอย่างไร ? คือพึงกำหนดผมเป็นต้นตามนัยที่กล่าวแล้วในนัยก่อน แล้วจึงกำหนดว่า สิ่งซึ่งมีลักษณะกระด้างในผม จัดเป็นปฐวีธาตุ พึงกำหนดว่า สิ่งซึ่งมีลักษณะเอิบอาบในปฐวีธาตุนั้นเอง จัดเป็นอาโปธาตุ

พึงกำหนดว่าสิ่งที่มีลักษณะอบอุ่นจัดเป็นเตโชธาตุ พึงกำหนดว่าสิ่งซึ่งมีลักษณะพัดไปมาจัดเป็นวาโยธาตุ พึงกำหนดธาตุ ๔ ในส่วนหนึ่งๆ ในบรรดาส่วนทั้งปวงด้วย ประการฉะนี้ เมื่อพระโยคีนั้นกำหนดอยู่อย่างนี้ ธาตุทั้งหลายย่อมจะปรากฏ เมื่อเธอนึกใฝ่ใจถึงธาตุเหล่านั้นบ่อยๆ อุปจารสมาธิย่อมเกิดตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล

การกำหนดธาตุโดยอาการต่างๆ ก็อีกนัยหนึ่ง พึงกำหนดธาตุโดยอาการแม้เหล่านี้ คือ :-

๑. โดยอรรถแห่งคำ
๒. โดยเป็นกอง
๓. โดยแยกละเอียด
๔. โดยลักษณะเป็นต้น
๕. โดยสมุฏฐาน
๖. โดยเป็นสภาพต่างกันและเหมือนกัน
๗. โดยอาการที่แยกและไม่แยก
๘. โดยเข้ากันได้และเข้ากันไม่ได้
๙. โดยภายในภายนอกแปลกกัน
๑๐. โดยประมวล
๑๑. โดยปัจจัย
๑๒. โดยไม่ใส่ใจกัน
๑๓. โดยแยกกันโดยปัจจัย

ในอาการเหล่านั้น พระโยคีเมื่อใฝ่ใจโดยอรรถแห่งคำ พึงใฝ่ใจโดยอรรถแห่งคำด้วยสามารถที่ต่างกันและเสมอกันอย่างนี้ว่า ชื่อว่าดิน เพราะแผ่ไป ชื่อว่าน้ำ เพราะเอิบอาบให้ชุ่มอยู่ หรือให้เต็มอยู่ ชื่อว่าไฟ เพราะอบให้ร้อน ชื่อว่าลม เพราะพัดให้ไหว แต่ว่าโดยไม่ต่างกันชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน และเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์และเป็นที่อัดทุกข์ไว้

พึงทราบวินิจฉัยโดยเป็นกองดังต่อไป นี้ ปฐวีธาตุนี้ใด ท่านแสดงโดยอาการ ๒๐ โดยนัยเป็นต้นว่า ผม ขน และอาโปธาตุนี้ใด ท่านแสดงโดยอาการ ๑๒ โดยนัยเป็นต้นว่า ดี เสลด ในธาตุเหล่านั้น เพราะ –

ที่มีสมมุตุว่าผมได้ เพราะประชุมธรรม ๘ ประการ คือ สี กลิ่น รส โอชา และธาตุทั้ง ๔ เพราะแยกสิ่งเหล่านั้นจากกันเสีย ย่อมไม่มี

สมมุติว่า ผม
เหตุนั้น คำว่าผม เป็นเพียงสักแต่ว่ากองแห่งธรรมทั้ง ๘ คำว่าขนเป็นต้น ก็เช่นกัน

อนึ่ง ในส่วนเหล่านี้ส่วนใดมีกรรมเป็นสมุฏฐาน ส่วนนั้นจัดว่า เป็นกองแห่งธรรม ๑๐ รวมทั้งชีวิตินทรีย์และภาวะเข้าด้วย ทั้งยังนับว่าปฐวีธาตุ อาโปธาตุ ด้วยอำนาจที่มา พึงใฝ่ใจโดยเป็นกองอย่างนี้

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โดยแยกละเอียด ดังต่อไปนี้ ก็ปฐวีธาตุที่ป่นเป็นชนิดเล็กอย่างยิ่ง เป็นดุจธุลีละเอียด อันพระโยคีกำหนดอยู่โดยอย่างกลางในสรีระนี้พึงมีประมาณได้ทะนานหนึ่ง ปฐวีธาตุนั้นอันอาโปธาตุประมาณกึ่งแต่ทะนานนั้นยึดไว้แล้วอันเตโชธาตุนี้เลี้ยงรักษาแล้ว อันวาโยธาตุพัดให้หวั่นไหวแล้ว จึงไม่เรี่ยรายไม่กระจัดกระจาย ปฐวีธาตุนี้ เมื่อไม่เรี่ยรายไม่กระจัดกระจาย ย่อมเข้าถึงการกำหนด เป็นเพศหญิงเพศชายเป็นต้นเป็นอเนก และประกาศความผอมอ้วนสูงต่ำแข็งแรงและอ่อนแอเป็นต้น

ฝ่ายอาโปธาตุในร่างกายนี้ ถึงความเป็นน้ำหยั่น มีอาการซึมซาบตั้งอยู่ในดินอันไฟตามรักษา อันลมพัดให้เคลื่อนไหว จึงไม่เรี่ยรายกระจัดกระจาย เมื่อไม่เรี่ยรายไม่กระจัดกระจาย จึงแสดงอาการที่เป็นต่างกันโดยความเป็นเพศหญิงเพศชายเป็นต้น และประกาศความเป็นผู้ผอมอ้วนสูงต่ำแข็งแรงและอ่อนแอเป็นต้น

ส่วนเตโชธาตุในร่างกายนี้ มีอาการร้อนอ้าว มีลักษณะร้อนอ้าวสำหรับย่อยสิ่งที่รับประทานและสิ่งที่ดื่มเป็นต้น ตั้งอยู่ในดินอันน้ำยึดไว้ อันลมพัดให้เคลื่อนไหวย่อมยังกายนี้ให้อบอุ่น และนำมาซึ่งวรรณสมบัติแก่กายนั้น อนึ่ง กายนี้อันเตโชธาตุนั้นให้อบอุ่นแล้วย่อมไม่แสดงอาการเน่า

ก็วาโยธาตุในสรีระนี้ซ่านไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ มีลักษณะเบ่งขึ้นและให้ไหวได้ ตั้งอยู่ในดินอันน้ำยึดไว้ อันไฟตามรักษา ย่อมยังกายนี้ให้เคลื่อนไหวได้

อนึ่ง กายนี้อันธาตุลมนั้นอุ้มแล้วจึงไม่ซวนเซไป ตั้งอยู่ตรง ๆ ได้อาศัยวาโยธาตุอื่นอีกพัดสม่ำเสมอ แล้ว ย่อมแสดงวิญญัติในอิริยาบถคือ เดิน ยืน นั่ง นอน ย่อมคู้เข้าเหยียดออก ยังมือและเท้าให้เคลื่อนไหวได้ ยนต์คือธาตุนี้เช่นเดียวกับรูปกล มีมายา สำหรับล่อลวงชนพาลโดยความเป็นหญิงและชายเป็นต้น เป็นไปอยู่ดังแถลงมานี้ พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยละเอียด ดังบรรยายมานี้แล

พึงทราบวินิจฉัยในมาติกาว่า โดยลักษณะเป็นต้นว่า พระโยคีนึกถึงธาตุทั้ง ๔ อย่างนี้ว่า ปฐวีธาตุมีลักษณะอย่างไร ? มีอะไรเป็นรส ? มีอะไรเป็นเครื่องปรากฏ ? ดังนี้แล้ว พึงใส่ใจโดยลักษณะเป็นต้นอย่างนี้ว่า ปฐวีธาตุมีลักษณะแข้นแข็งมีการตั้งอ ยู่เป็นรส มีการรับไว้เป็นเครื่องปรากฏ อาโปธาตุ มีความหลั่งไหลเป็นลักษณะ มีการพอกพูนเป็นรส มีการยึดไว้เป็นเครื่องปรากฏ เตโชธาตุ มีความร้อนเป็นลักษณะ มีการให้อบอุ่นเป็นรส มีการเพิ่มให้ถึงซึ่งความอ่อนนุ่มเป็นเครื่องปรากฏ วาโยธาตุมีการเคลื่อนไหวเป็นลักษณะมีการเบ่งขึ้นได้เป็นรส มีการยักย้ายเป็นเครื่องปรากฏ

ในมาติกาว่าโดยสมุฏฐาน พึงทราบวินิจฉัยว่า ส่วน ๓๒ มีผมเป็นต้นเหล่านี้ใด ท่านแสดงแล้วด้วยสามารถแสดงปฐวีธาตุ เป็นต้นโดยพิสดาร ในส่วนเหล่านั้น ส่วน ๔ เหล่านี้ อาหารใหม่ อาหารเก่า หนอง มูตร มีฤดูเป็นสมุฏฐานแล ส่วน ๔ เหล่านี้ คือ น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย น้ำมูก มีฤดูและจิตเป็นสมุฏฐาน ไฟซึ่งเป็นตัวย่อยอาหารที่บริโภคเป็นต้น มีกรรมเป็นสมุฏฐานแล ลมหายใจออกเข้ามีจิตเป็นสมุฏฐาน ที่เหลือนอกนั้นทั้งหมด มีสมุฏฐาน ๔ พึงใฝ่ใจโดยสมุฏฐาน ด้วยอาการอย่างนี้

ในมาติกาว่าโดยเป็นสภาพต่างกันและเหมือนกัน พึงทราบวินิจฉัยว่า ธาตุทั้งหมดต่างกันโดยลักษณะของตนเป็นต้น คือปฐวีธาตุก็มีลักษณะ รส และการปรากฏอันหนึ่งต่างหาก อาโปธาตุเป็นต้นก็มีลักษณะ, รส และอาการปรากฏอีกส่วนหนึ่งต่างหาก

ก็ธาตุเหล่านี้แม้จะเป็นสภาพต่างกัน ด้วยสามารถลักษณะเป็นอย่างนี้ก็ดี และด้วยสามารถแห่งสมุฏฐาน มีกรรมเป็นสมุฏฐานเป็นต้นก็ดี ย่อมชื่อว่าเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถเป็นรูป, มหาภูต, ธาตุ, ธรรม และเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น

จริงอยู่ ธาตุทุกอย่างชื่อว่าเป็นรูป เพราะไม่ต้องลักษณะจำต้องอวด

ชื่อว่ามหาภูตรูป เพราะเหตุมีความปรากฏ โดยความเป็นของใหญ่เป็นต้น

ก็ในคำว่า มีความปรากฏเป็นของใหญ่เป็นต้น อธิบายว่า ก็ธาตุเหล่านี้ ท่านเรียกว่ามหาภูต เพราะเหตุเหล่านี้ คือ –

๑. เพราะความปรากฏเป็นของใหญ่
๒. เพราะความเป็นสภาพเหมือนกับมหาภูต
๓. เพราะจำต้องบริหารมาก
๔. เพราะมีวิการมาก
๕. เพราะเป็นของมีจริงโดยความเป็นของใหญ่

ในอาการเหล่านั้น คำว่าเพราะความปรากฏเป็นของใหญ่ คือธาตุนี้เป็นธรรมชาติปรากฏเป็นของใหญ่ ทั้งในสันดานที่ไม่มีใจครอง ทั้งในสันดานที่มีใจครอง

บรรดาสันดานทั้ง ๒ เหล่านั้น ความเป็นของปรากฏความเป็นของใหญ่แห่งมหาภูตเหล่านั้น ในสันดานที่ไม่มีใจครอง ข้าพเจ้าอธิบายมาแล้วแล ในพุทธานุสตินิเทศโดยนัยเป็นต้นว่า

แผ่นดินนี้ ท่านคำนวณแล้ว โดยกำหนดส่วนหนาได้เท่านี้
คือ ๒ แสน กับอีก ๔ หมื่นโยชน์ ฯ

ฝ่ายในสันดานที่มีใจครอง เป็นสภาพปรากฏเป็นของใหญ่จริงด้วยสามารถ สรีระแห่งปลา, เต่า, เทวดา, มานพ, อสูรเป็นต้น สมดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในมหาสมุทรมีอัตภาพยาวประมาณตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ดังนี้เป็นต้น

ธาตุ ๔ เป็นมหาภูต

ในมาติกาว่า เพราะเป็นสภาพเหมือนกับมหาภูต มีวินิจฉัยว่า ก็ธาตุเหล่านี้ตัวเองเป็นของไม่เขียวเลย แต่แสดงอุปาทายรูปที่เขียวได้ ตัวเองเป็นสภาพไม่เหลือง แต่แสดงอุปาทายรูปที่เหลืองได้ ตัวเองเป็นสภาพไม่แดงแต่แสดงอุปาทายรูปที่แดงได้ ตัวเองเป็นภาพไม่ขาวเลย แต่แสดงอุปาทายรูปที่ขาวได้ เปรียบดุจนักเล่นกลแสดงน้ำซึ่งไม่ใช่แก้วมณีแท้ๆให้เป็นแก้วมณีได้ แสดงก้อนดินซึ่งไม่ใช่ทองจริงๆให้เป็นทองได้ และเหมือนอย่างตัวเองไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่นกก็แสดงเป็นยักษ์เป็นนกบ้าง เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อว่ามหาภูต เพราะเป็นเหมือนมหาภูตนักเล่นกล

อนึ่ง เปรียบดุจมหาภูตมียักษ์เป็นต้น เข้าสิงผู้ใดภายในภายนอกผู้นั้น อันมหาภูตเหล่านั้น จะเข้าไปได้ก็หาไม่ และมหาภูตเหล่านั้นจะไม่สิงผู้นั้นตั้งอยู่ก็หาไม่ ฉันใดแม้มหาภูตเหล่านี้ก็ฉันนั้น อันกันและกันย่อมเข้าได้ เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ภายในภายนอกของกันและกันก็หาไม่ และมหาภูตรูปเหล่านี้ มิใช่จะไม่อาศัยกันและกันตั้งอยู่ก็หาไม่ฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง ธาตุชื่อว่าเป็นมหาภูต แม้เพราะเป็นธรรมชาติที่เสมอกับมหาภูตมียักษ์เป็นต้นโดยความเป็นฐานะที่ไม่ควรคิด

อนึ่ง เปรียบดุจมหาภูต กล่าวคือยักษิณี ปกปิดภาวะอันน่ากลัวของตนไว้ โดยการปลอมแปลงสีและสัณฐานที่น่าพึงใจ ลวงสัตว์ทั้งหลาย ฉันใด แม้มหาภูตรูปเหล่านี้ก็ฉันนั้น ปิดลักษณะตามธรรมดาของตัว อันต่างด้วยอาการมีอาการที่ตนเป็นของแข้นแข็งเป็นต้น ด้วยผิวพรรณที่น่าพึงใจ ด้วยสัณฐานแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ที่น่าพึงใจ และด้วยการกระดุกกระดิกได้แห่งมือเท้าและนิ้วที่น่าพึงใจในสรีระหญิงและชายเป็นต้น ลวงพาลชนอยู่มิให้เห็นความเป็นจริงของตน เพราะเหตุนั้น จึงเชื่อว่ามหาภูตแม้เพราะเป็นของเสมอกับมหาภูต คือนางยักษิณีเพราะเป็นสภาพที่ลวง

ในคำว่า เพราะจำต้องบริหารมาก มีอธิบายว่า เพราะเป็นสิ่งที่จำต้องรักษาด้วยปัจจัยเป็นอันมาก จริงอยู่ มหาภูตเหล่านี้เป็นแล้ว คือเป็นไปแล้วด้วยปัจจัยทั้งหลายมีเครื่องกิน และเครื่องนุ่งห่มเป็นต้นเป็นอันมาก เพราะจำต้องนำเข้าไปทุก ๆ วัน เหตุนั้น จึงชื่อว่า มหาภูตอีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นมหาภูต แม้เพราะเป็นภูตที่จำต้องบริหารมาก

จริงอยู่ มหาภูตเหล่านี้ ที่เป็นอุปาทินนกะก็ดี อนุปาทินนกะก็ดี ย่อมเป็นภูตมีวิการมาก ในภูต ๒ ชนิดนั้น อาการที่วิการมากของอนุปาทินนกะ ย่อมปรากฏในเมื่อกลาปะย่อยยับ ของอุปาทินนกะปรากฏในเวลาธาตุกำเริบ ความจริงเป็นเช่นนั้น

เมื่อโลกไหม้อยู่ด้วยความร้อนแห่งเปลวไฟ เปลวไฟพุ่ง

ขึ้นแต่ภาคพื้น ลุกขึ้นจนกระทั่งพรหมโลก ฯ เมื่อใด โลก

จักฉิบหายด้วยน้ำอันกำเริบแล้ว เมื่อนั้นจักรวาลประมาณ

แสนโกฏิหนึ่ง จะละลายชั่วประเดี๋ยว เมื่อใดโลกจักฉิบหาย

ด้วยธาตุลมกำเริบ เมื่อนั้นจักรวาลประมาณแสนโกฏิหนึ่ง

จักวอดวายชั่วประเดี๋ยว กายถูกงูปากไม้กัด ย่อมแข็งกระด้าง

ฉันใด เพราะปฐวีธาตุกำเริบ กายนั้นก็เป็นดังอยู่ในปากงู

ปากไม้ฉันนั้น กายถูกงูปากเน่ากัด ย่อมเน่าเปื่อยฉันใด

เพราะอาโปธาตุกำเริบ กายนั้นก็เป็นดังอยู่ในปากงูปากเน่า

ฉันนั้น กายถูกงูปากไฟกัด ย่อมร้อนกลุ้มฉันใด เพราะ

เตโชธาตุกำเริบ กายนั้นเป็นดังอยู่ในปากงูปากไฟ ฉันนั้น

กายถูกงูปากศัสตรากัด ย่อมขาดไปฉันใด เพราะวาโยธาตุ

กำเริบ กายนั้นก็เป็นดังอยู่ในปากงูปากศัสตรา ฉันนั้น

ภูตมีวิการมาก ดังนี้ เหตุนั้นจึงชื่อว่ามหาภูต

ในคำว่า เพราะเป็นของมีอยู่โดยความเป็นของใหญ่ ก็ภูตเหล่านี้ชื่อว่าเป็นของใหญ่ เพราะจำต้องประคับประคองด้วยความพยายามอย่างใหญ่ และชื่อว่ามีจริง เพราะมีอยู่โต้ง ๆ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มหาภูต เพราะเป็นของมีจริงโดยความเป็นของใหญ่

ธาตุเหล่านี้แม้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นมหาภูต เพราะเหตุมีความเป็นของปรากฏโดยความเป็นของใหญ่เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธาตุทุกอย่างไม่ล่วงลักษณะธาตุไปได้ เพราะทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน และเพราะเป็นฐานแห่งทุกข์ และเพราะอัดทุกข์ไว้

และชื่อว่า ธรรม เพราะทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนและเข้าไปทรงอยู่ได้ชั่วขณะอันสมควรแก่ตน

ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป
ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าน่าพรั่นพรึง
ชื่อว่า มิใช่ตน เพราะอรรถว่าไม่มีสาระ

ตามนัยนี้ แม้ธาตุทุกอย่างชื่อว่าเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถที่เป็นรูป เป็นมหาภูต เป็นเหตุ เป็นธรรม และเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นต้น พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยต่างกันและเหมือนกัน โดยอาการอย่างนี้

ในข้อมาติกาว่า โดยอาการที่แยกจากกันและไม่แยก พึงทราบวินิจฉัยว่าธาตุเหล่านี้ทั้งหมด พอเกิดร่วมกันเท่านั้น ก็ไม่แยกกันตามส่วนแม้ในกลาปะ ๘ ล้าน เป็นต้น ซึ่งมีในที่สุดแห่งกลาปะทั้งหมด เฉพาะอันหนึ่ง ๆ แต่ชื่อว่าแยกจากกันโดยลักษณะ พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยอาการที่แยกจากกัน และไม่แยกจากันโดยอาการอย่างนี้

ในข้อมาติกาว่า โดยเข้ากันได้และไม่ได้ มีวินิจฉัยว่า ในบรรดาธาตุเหล่านี้ แม้จะไม่แยกจากกันอย่างอธิบายมาแล้วก็ดี ธาตุ ๒ ตอนต้น ชื่อว่าสภาคคือเข้ากันได้ เพราะเป็นของหนักเหมือนกัน ธาตุตอนหลังก็จัดเป็นสภาคกันเหมือนกัน เพราะเป็นของเบาแต่ธาตุตอนต้นกับธาตุตอนหลัง และธาตุตอนหลังกับธาตุตอนต้น จัดเป็นวิสภาคกัน คือเข้ากันไม่ได้ เพราะข้างฝ่ายหนึ่งหนักฝ่ายหนึ่งเบา พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยเข้ากันได้และไม่ได้โดยอาการอย่างนี้

ในข้อมาติกาว่า โดยภายในและภายนอกแปลกกัน พึงทราบวินิจฉัยว่าธาตุภายใน ย่อมเป็นที่อาศัยแห่งวิญญาณวัตถุและวิญญัติและอินทรีย์ เป็นสภาพที่เกี่ยวเนื่องกับอิริยาบถ มีสมุฏฐาน ๔ ธาตุภายนอกมีประการผิดตรงกันข้ามจากที่กล่าวแล้ว พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยธาตุภายในและภายนอกแปลกกัน ดังบรรยายมานี้

ในข้อมาติกาว่า โดยประมวล พึงทราบวินิจฉัยว่า ปฐวีธาตุมีธรรมเป็นสมุฏฐาน รวมเป็นอันเดียวกันกับธาตุนอกจากนี้ ซึ่งมีกรรมเป็นสมุฏฐาน เพราะไม่มีความต่างกันโดยสมุฏฐาน ที่มีจิตเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ร่วมเป็นอันเดียวกับธาตุซึ่งมีจิตเป็นต้นเป็นสมุฏฐานดุจกัน พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยรวมกัน ดังบรรยายมานี้

ใน ข้อมาติกาว่า โดยปัจจัย พึงทราบวินิจฉัยว่า ปฐวีธาตุอันน้ำยึดไว้ อันไฟตามรักษาไว้ อันลมให้เคลื่อนไหว เป็นปัจจัยเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งมหาภูตทั้ง ๓ อาโปธาตุตั้งอาศัยดิน อันไฟตามรักษา อันลมให้เคลื่อนไหว เป็นปัจจัยเป็นเครื่องยึดแห่งมหาภูตทั้ง ๓ เตโชธาตุตั้งอาศัยดิน อันน้ำยึดไว้ อันลมให้เคลื่อนไหว เป็นปัจจัยเป็นเครื่องอบอุ่นแห่งมหาภูตทั้ง ๓ วาโยธาตุตั้งอาศัยดิน อันน้ำยึดไว้ อันไฟให้อบอุ่น เป็นปัจจัยเป็นเหตุให้เคลื่อนไหวแห่งมหาภูตทั้ง ๓ พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยเป็นปัจจัย ดังบรรยายมานี้

ในข้อมาติกาว่า โดยไม่รู้จักกัน พึงทราบวินิจฉัยว่า ในบรรดาธาตุทั้ง ๔ นี้ ปฐวีธาตุย่อมไม่รู้สึกว่า เราคือปฐวีธาตุ หรือว่าเราเป็นที่ตั้งเป็นปัจจัยแห่งมหาภูตทั้ง ๓ แม้ธาตุ ๓ นอกนี้ก็ไม่รู้สึกว่า ปฐวีธาตุเป็นปัจจัยเป็นที่ตั้งของพวกเรา ในธาตุทั้งปวงมีนัยเช่นเดียวกันนี้ พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยไม่รู้จักกัน ดังบรรยายมานี้

ในข้อมาติกาว่า โดยวิภาคของปัจจัย พึงทราบวินิจฉัยว่า ก็ปัจจัยของธาตุมี ๔ คือ กรรม จิต อาหาร ฤดู ในปัจจัยทั้ง ๔ นั้น กรรมนั่นแหละย่อมเป็นปัจจัยแห่งธาตุทั้งหลายที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน มิใช่ปัจจัยอื่นมีจิตเป็นต้น ส่วนจิตเป็นต้นย่อมเป็นปัจจัยแม้แห่งทั้งธาตุทั้งหลายที่มีจิตเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน มิใช่ปัจจัยนอกนี้

อนึ่ง กรรมย่อมเป็นตัวชนกปัจจัย คือปัจจัยที่บันดาลให้เกิดแห่งธาตุทั้งหลายที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน เป็นอุปนิสสยปัจจัยโดยอ้อมแห่งธาตุทั้งหลายที่เหลือ จิตย่อมเป็นตัวชนกปัจจัยแห่งธาตุทั้ง หลายที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นปัจฉาชาตปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย แห่งธาตุทั้งหลายที่เหลือ อาหารย่อมเป็นตัวชนกปัจจัยแห่งธาตุทั้งหลายที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน เป็นอาหารปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัยแห่งธาตุทั้งหลายที่เหลือ ฤดูย่อมเป็นตัวชนกปัจจัยแห่งธาตุทั้งหลาย ที่มีฤดูเป็นสมุฏฐาน เป็นอัตถิปัจจัยและอวิคตปัจจัยแห่งธาตุทั้งหลายที่เหลือ

มหาภูตมีกรรมเป็นสมุฏฐาน ย่อมเป็นปัจจัยของมหาภูตทั้งหลายที่มีกรรมเป็นสมุฏฐานบ้าง ที่มีจิตเป็นต้นเป็นสมุฏฐานบ้าง มหาภูตที่มีจิตเป็นสมุฏฐานก็ดี ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐานก็ดี ที่มีฤดูเป็นสมุฏฐานก็ดี ย่อมเป็นปัจจัยแห่งมหาภูตทั้งหลาย ที่มีฤดูเป็นสมุฏฐาน ที่มีกรรมเป็นต้นเป็นสมุฏฐานบ้างเช่นกัน

ในบรรดาปัจจัยทั้ง ๔ เหล่านั้น ปฐวีธาตุ มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ย่อมเป็นปัจจัย แห่งธาตุนอกนี้ที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ด้วยสามารถสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัยแห่งธาตุนอกนี้ และด้วยสามารถเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งธาตุนอกนี้ แต่มิใช่เป็นปัจจัย ด้วยสามารถเป็นตัวบันดาลให้เกิด คือ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งมหาภูตที่มีสันตติ ๓ นอกนี้ ด้วยสามารถเป็นนิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย มิใช่เป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นที่พำนัก และมิใช่เป็นปัจจัยด้วยสามารถชนกปัจจัย

ในจำพวกธาตุเหล่านี้ ฝ่ายอาโปธาตุ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธาตุ ๓ นอกนี้ ด้วยสหชาตปัจจัยเป็นต้น และด้วยสามารถเป็นเครื่องยึดไว้ มิใช่ด้วยสามารถเป็นชนกปัจจัย คือเป็นปัจจัยแห่งธาตุ ๓ นอกนี้ ที่มีสันตติ ๓ ด้วยสามารถเป็นนิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัย มิใช่เป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นเครื่องยึดไว้ มิใช่เป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นตัวชนกปัจจัย

ในจำพวกธาตุเหล่านี้ ส่วนเตโชธาตุ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธาตุ ๓ นอกนี้ ด้วยสามารถเป็นสหชาตปัจจัยเป็นต้น และด้วยสามารถเป็นเครื่องให้อบอุ่น มิใช่เป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกปัจจัย คือย่อมเป็นปัจจัยแห่งมหาภูตนอกนี้ ซึ่งมีสันตติ ๓ ด้วยสามารถเป็นนิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัยเท่านั้น มิใช่ด้วยสามารถเป็นเครื่องให้อบอุ่น มิใช่ด้วยสามารถเป็นชนกปัจจัย

ในจำพวกธาตุเหล่านี้ ส่วนวาโยธาตุ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธาตุ ๓ นอกนี้ ด้วยสามารถสหชาตปัจจัยเป็นต้น และด้วยสามารถเป็นเหตุเคลื่อนไหว มิใช่ด้วยสามารถชนกปัจจัย คือเป็นปัจจัยแห่งมหาภูต ซึ่งมีสันตติ ๓ นอกนี้ ด้วยสามารถเป็นนิสสยปัจจัย อัตถิปัจจัย และอวิคตปัจจัยเท่านั้น มิใช่ด้วยสามารถเป็นเหตุเคลื่อนไหว มิใช่ด้วยสามารถชนกปัจจัย แม้ในปฐวีธาตุเป็นต้น ซึ่งมีจิตและอาหารและฤดูเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ก็แหละ บรรดาธาตุเหล่านี้ ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของปัจจัยมีสหชาตปัจจัยเป็นต้นดังพรรณนามานี้ ธาตุ ๓ อาศัยธาตุ ๑ เป็นไปโดยอาการ ๔ อย่าง ธาตุ ๑ อาศัยธาตุ ๓ และธาตุ ๒ อาศัยธาตุ ๒ ย่อมเป็นไปโดยอาการ ๖ อย่าง

จริงอยู่ ในปฐวีธาตุเป็นต้น ธาตุ ๓ อาศัยธาตุ ๑ ย่อมเป็นไปโดยอาการ ๔ อย่าง อย่างนี้คือ ธาตุ ๓ อาศัยธาตุ ๑

อนึ่ง ในปฐวีธาตุเป็นต้น ธาตุ ๑ อาศัยธาตุ ๓ ธาตุนอกนี้ ตามนัยนี้ ธาตุอันเดียว อาศัยธาตุอื่น ๓ จึงเป็นไปโดยอาการ ๔ อย่าง

อนึ่ง ธาตุ ๒ ข้างปลายอาศัยธาตุ ๒ ข้างต้น และธาตุ ๒ ข้างต้นอาศัยธาตุ ๒ ข้างปลาย ธาตุที่ ๒ และธาตุที่ ๔ อาศัยธาตุที่ ๑ และที่ ๓ ธาตุที่ ๑ ที่ ๓ อาศัยธาตุที่ ๒ และที่ ๔ ธาตุที่ ๒ ที่ ๓ อาศัยธาตุที่ ๑ และที่ ๔ และธาตุที่ ๑ และธาตุที่ ๔ อาศัยธาตุที่ ๒ และที่ ๓ ตายนัยนี้ ธาตุ ๒ อาศัยธาตุ ๒ ย่อมเป็นไปโดยอาการ ๖ อย่าง

ในธาตุเหล่านั้น ปฐวีธาตุเป็นปัจจัยแห่งการยันในเวลาก้าวไปและถอยกลับเป็นต้นปฐวีธาตุนั้นและประสมกับอาโปธาตุอันอาโปธาตุซึมซาบแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการให้ดำรงมั่น ฝ่ายอาโปธาตุประสมกับปฐวีธาตุย่อมเป็นปัจจัยแห่งอันมิให้กระจัดกระจาย และเตโชธาตุ ประสมกับวาโยธาตุย่อมเป็นปัจจัยแห่งอันยกขึ้น ฝ่ายวาโยธาตุประสมกับเตโชธาตุ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการเดินและวิ่งได้เร็ว พระโยคีพึงใฝ่ใจโดยวิภาคของปัจจัยดังบรรยายมานี้

ก็แม้ เมื่อพระโยคีใฝ่ใจด้วยสามารถอรรถวิเคราะห์เป็นต้นอย่างนี้ ธาตุทั้งหลายย่อมปรากฏโดยเป็นส่วนหนึ่ง ๆ เมื่อท่านรำพึงและใฝ่ใจธาตุเหล่านั้นบ่อย ๆ อุปจารสมาธิย่อมเกิดตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ อุปจารสมาธินี้นั้นถึงความนับว่าจตุธาตุววัฏฐาน เพราะเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งญาณที่กำหนดธาตุ ๔

อานิสงส์การกำหนดธาตุ ๔

ก็แหละ พระโยคีผู้หมั่นประกอบจตุธาตุววัฏฐานนี้ใด ย่อมหยั่งลงสู่ความเป็นของเปล่า ย่อมเพิกถอนความสำคัญหมายว่าสัตว์ พระโยคีนั้นไม่ถึงความกำหนดแยกว่าเนื้อร้ายและยักษ์และผีเสื้อน้ำเป็นต้น เพราะเป็นผู้เพิกถอนสัตตสัญญาเสียได้ จึงเป็นผู้ทนต่อภัยน่าพึงกลัว ทนต่อความยินดียินร้าย ไม่ถึงความสงบและความอึดอัดใจ ในเพราะอารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา ก็แลท่านย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญามาก มีพระนิพพานเป็นที่สุด มิฉะนั้นก็เป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

นักปราชญ์ พึงส้องเสพธาตุววัฏฐาน ที่พระโยคี

ผู้ประเสริฐเพียงดังสีหะเคยเล่นมาแล้ว อันมีอานุภาพมาก

อย่างนี้ เป็นนิตย์เทอญ

นิเทศแห่งการเจริญจตุธาตุววัฏฐาน ยุติเพียงเท่านี้

ที่มา วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๑๑ สมาธินิเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น