วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ธาตุ ๔ กับอุปนิสัย ๔ แบบ

โลกนี้และอุปนิสัยสี่แบบ



 

          ก่อนเกิดเราเป็นประชากรของโลกแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีกรอบอันแน่ชัดของกาลอวกาศ (Space and time) แต่เมื่อปฏิสนธิในครรภ์ของแม่แล้ว จิตวิญญาณของเรา (Fifth Element) จึงได้มาเป็นส่วนหนึ่งของประชากรบนโลกใบนี้ โดยมีกายเนื้อ (Physical body) อันประกอบด้วยธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ หรือธาตุทั้งสี่ (Four Element) เป็นเครื่องดำรงอยู่ในโลกแห่งวัตถุธาตุนี้ เป็นชีวิตที่ต้องตกอยู่ใต้กาลเวลาอันจำกัดช่วงหนึ่ง และที่สำคัญยังเป็นกายเนื้อที่มีมวลสารและบรรจุในปริมาตรที่มีขอบเขตอันหนึ่ง


          แม้อยู่ในสภาวะของสุขภาพที่แข็งแรงที่สุด มนุษย์เราก็ไม่ได้ละทิ้งความเป็นส่วนหนึ่งของโลกทางจิตวิญญาณโดยเด็ดขาด แต่เราได้รับเอากายเนื้อซึ่งเป็นธาตุดิน มาจากรหัสพันธุกรรมของพ่อแม่อย่างละครึ่ง ก่อนที่จะพยายามปรับเปลี่ยนกลุ่มก้อนของกายธาตุดินอันนั้นให้ใกล้เคียงกับตัวตนทางจิตวิญญาณ (Fifth Element) มากที่สุด จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ในวัยเด็กเราจึงมีใบหน้าละม้ายไปทางพ่อหรือทางแม่ ก่อนที่จะค่อยๆ สร้างรูปแบบของเอกลักษณ์บนใบหน้าเพิ่มขึ้นมาในวัยรุ่น จวบจนที่เราบรรลุนิติภาวะ เราอาจจะพบอยู่บ่อยๆ ว่าเค้าโครงของใบหน้าลูกๆ หลายคนนั้นได้เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนพ่อหรือแม่สักเท่าใด

          ความเข้ากันได้ของกายเนื้อและตัวตนทางจิตวิญญาณนี้เป็นภาระตลอดชีวิตของคนๆ หนึ่ง ซึ่งจิตวิญญาณที่ควบรวมกับกายเนื้อได้อย่างดีนั้น แท้ที่จริงแล้วคือการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งร่างกายที่ใกล้เคียงกับตัวตนทางจิตวิญญาณที่สุด ในทางการแพทย์สมัยใหม่เราจึงเรียกปรากฏการณ์ที่ยีนของมนุษย์คนหนึ่งถูกปิดและเลือกเปิดใช้แค่ส่วนหนึ่งนั้นว่า “Gene expression” และมองว่าปัจจัยภายนอกหลายๆ อย่างเป็นตัวที่เข้ามากำหนดการทำงานของ Gene expression นั้นได้ เกิดเป็นทฤษฎีใหม่ล่าสุดของการศึกษาวิจัยทางพันธุกรรมที่เรียกว่า “Epi-genomic” หรือ “Environment induce gene” ซึ่งมุ่งเน้นการหาปัจจัยทางอาหารการกิน, ความเครียด หรือ Life style อะไรบ้างที่มีผลต่อยีนนั่นเอง

          แม้แต่ฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน ถึงแม้จะมียีนชุดเดียวกัน แต่ก็อาจมีการแสดงออกของยีนต่างกันได้ขึ้นกับ องค์/Ego หรืออัตตาตัวตนที่เป็นแก่นทางจิตวิญญาณของแต่ละคน ลายนิ้วมือ จึงเป็นตัวกำหนดอัตลักษณ์ของฝาแฝดแต่ละคนได้ เพราะนั่นคือผลพวงของ ตัวตนของแฝดแต่ละคนที่แสดงออกมาทำให้ลายนิ้วมือไม่เหมือนกัน เสมือนว่า องค์/อัตตา/Ego ในโลกแห่งจิตวิญญาณได้พยายามสร้างภาพเสมือน (Body Image) อีกอันหนึ่งขึ้นมาด้วยมรดกทางพันธุกรรมของพ่อและแม่บนโลกใบนี้ให้เป็นตัวตนของโลกวัตถุ โดยเจตนาจะให้เหมือนตัวตนของเขาในโลกแห่งจิตวิญญาณมากที่สุดเท่าที่พันธุกรรมของพ่อแม่เขาจะเอื้อให้ทำได้ และตัวตนที่กำเนิดมาจากวัตถุธาตุทั้งสี่บนโลกนี้เองจะได้เป็นเสมือนพาหนะให้เขาได้ดำเนินชีวิตในฐานะประชากรของโลกแห่งวัตถุอย่างปัจเจกชนคนหนึ่ง

          ในทางตรงกันข้าม หากจิตวิญญาณหรือตัวตนของคนๆ หนึ่งไม่ชัดเจน หรือไม่สามารถมาควบรวมกับกายเนื้อได้ เราจะพบว่าใบหน้าของเด็กคนนั้นจะไม่มีเอกลักษณ์ของตนเองเลย นี่คือเหตุผลที่เราจะเห็นเด็กในกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) ที่มีข้อบกพร่องทางพัฒนาการสมอง ไม่สามารถตื่นรู้ (Awareness/ Cognitive) ได้อย่างคนปกติ จะมีใบหน้าเหมือนๆ กันหมด ไม่ว่าจะเป็น Down Syndrome ชาวตะวันตก หรือ Down Syndrome ชาวไทย ชาวจีน จะมีใบหน้าทรงเดียวกันหมด อีกทั้งการพัฒนาทาง IQ ซึ่งอิงอาศัยบนศักยภาพของการตื่นรู้ก็จะถูกจำกัดตามไปด้วย

ลักษณะใบหน้าแบบ Down Syndrome ที่จะเปลี่ยนแปลงน้อยมากตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่เต็มวัย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่สามารถสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าได้

          หากพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อกายเนื้อหรือธาตุทั้ง 4 โดยเฉพาะธาตุดินนั้น เท่ากับเรากำลังพิจารณาสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อมวลและสสาร ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นไปตามกฎของแรงโน้มถ่วง (Gravity force) ซึ่งก็คือ

                    G x m1 x m2     
          F = ---------------------
                            r x r

จะเห็นได้ว่านอกจากแรงดึงดูดจะเป็นค่าที่ขึ้นอยู่กับมวลของ 2 สิ่งที่ดึงดูดกันแล้ว (ในสมการคือค่า m1 และ m2) ค่าของแรงโน้มถ่วงยังขึ้นกับระยะห่างของ 2 สิ่งนั้นด้วย คือยิ่งใกล้ยิ่งดึงดูดกันแรง ยิ่งไกลยิ่งดึงดูดกันอย่างอ่อนๆ

          เฉกเช่นเดียวกัน กายเนื้อที่มีความเป็นมวลและสสารนั้นเอง ก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด และหากเราใช้อุปมาอย่างเดียวกันว่าชีวิตของเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของธรรมชาติคือจักรวาล (Macrocosmos) แล้วล่ะก็ กายเนื้อของเราย่อมรับเอาอิทธิพลของดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          เริ่มจากทฤษฎีที่ฟังเข้าใจยาก แต่หากพิจารณาเทียบกับความเป็นจริงต่อคำถามที่ว่า แล้ว ดาวเคราะห์ดวงไหนเล่าที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด? คำตอบไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าหรอกครับ แต่เราจะพบคำเฉลยนี้ได้ด้วยการก้มลงมองดูพื้นดินที่เรายืนอยู่… ใช่ ดาวโลกยังไงล่ะครับ ที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด

          สภาพดินฟ้าอากาศบนโลกใบนี้ จึงส่งผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะกายเนื้อของเราอย่างที่สุด ถ้าอากาศร้อนไปก็ความดันขึ้น อากาศหนาวไปก็เป็นหวัด นี่ยังไงล่ะครับ อิทธิพลของดวงดาวที่มีผลต่อสุขภาพอย่างที่เรารู้จักกันดี

          ในทางการแพทย์แผนไทยจึงมีความทฤษฎีที่เชื่อว่า สภาพภูมิอากาศหรือฤดูกาลตอนเกิดจึงเป็นตัวกำหนดจุดอ่อนจุดแข็งทางสุขภาพในระยะยาวของคนๆ หนึ่ง อย่างที่เราเรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือนเกิด”นั่นเอง

          คำอธิบายที่ตัวผมตกผลึกได้จากการดูแลสุขภาพคนไข้โดยเทียบเคียงกับทฤษฎีธาตุเจ้าเรือนนั้น หากตัดเอาบัญญัตินิยามหรือคำศัพท์แบบโบราณออกไป เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้วธาตุทั้ง 4 ที่ทำงานอยู่ในตัวเรานั้น ก็คือการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่าสรีระวิทยา (Physiology) นั่นเอง

          แต่มุมมองทางการแพทย์แบบองค์รวมไม่ได้มองว่าสรีระวิทยาเกิดขึ้นได้จากโมเลกุลของสารต่างๆ มากระทำต่อกันเป็นเบื้องต้น แต่มองว่า เมื่อมีการปฏิสนธิ… เซลล์ไข่และอสุจิได้ดึงเอาพลังงานตามธรรมชาติทั้ง 4 แบบมาประจุไว้ในเซลล์ต่างๆ ก่อนต่างหาก ก่อนที่จะเอาพลังงาน (เดิมเรียกว่าธาตุ ดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม, ธาตุไฟ) ซึ่งเป็นพลังงานศักย์นั้น มาสำแดงออกเป็นพลวัตของโมเลกุลต่างๆ เกิดเป็นสรีระวิทยาและรูปแบบของชีวิตขึ้น ประดุจว่าชีวิตของเราได้แยกตัวออกมาจากจักรวาล (Macrocosmos) ซึ่งเป็นระบบปิดใหญ่ๆ (Close system) ระบบหนึ่ง สร้างออกมาเป็นหน่วยย่อยคือชีวิตของมนุษย์ (Microcosmos) อันมีดิน น้ำ ลม ไฟ ของตนเอง กลายเป็นระบบปิดเล็กๆ อีกระบบหนึ่ง

          สมดุลของ Microcosmos นี้จะดำรงอยู่ตราบเท่าที่มนุษย์ยังดำรงอายุขัยอยู่ได้ แต่เมื่อใดที่มนุษย์ตายลง ธาตุทั้ง 4 ก็จะต้องเน่าเปื่อยผุพัง และสลายคืนกลับสู่ Macrocosmos อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแนวคิดแบบนี้ช่างสอดคล้องกับแนวปรัชญาของชาวฮินดูที่เรียกส Macrocosmos-Microcosmos ว่า พรหมมัน และ อาตมัน นั่นเอง

          อย่างไรก็ตาม ณ จุดเริ่มต้นของการก่อร่างสร้างรูปของกายเนื้อนั้น ธาตุทั้ง 4 จะถูกหยิบยืมมาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือรับมาเพิ่มหรือลดลงผ่าน Lifestyle การกินการอยู่นั้นถือเป็นส่วนน้อยและต้องใช้เวลายาวนานมากจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

          ลองนึกภาพตามดูสิว่าหากใครคนใดมีการปฏิสนธิในช่วงฤดูกาลที่เป็นฤดูร้อน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่มีอุณภูมิสูงสุด ความร้อนที่มีมากเป็นพิเศษนี้ ทำให้การหยิบยืมเอาพลังงานธาตุทั้ง 4 ในธรรมชาติมาสร้างเป็นกายเนื้อนั้น ได้สัดส่วนของธาตุไฟมามากกว่าธาตุอื่นๆ ในที่นี้คนๆ นั้นก็จะมีปฏิกิริยาของธาตุไฟ ซึ่งก็คือกระบวนการเผาผลาญและย่อยอาหาร, การอักเสบและภูมิต้านทาน รวมไปจนถึงอุปนิสัยที่ใจร้อน มากเป็นพิเศษ

ตัวอย่างการวิเคราะห์์ธาตุเจ้าเรือนตามวันเดือนปีเกิด เช่น เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2520 เราจะต้องนับย้อนหลังไปประมาณ 9 เดือนเพื่อหาวันปฏิสนธิ ซึ่งก็คือ ราวต้นเดือนพฤษภาคม 2519 อันเป็นช่วงฤดูร้อน คนๆ นี้จึงมีแนวโน้มที่จะมีธาตุเจ้าเรือนเกิดมีธาตุไฟเด่นกว่าธาตุอื่นๆ

          เทียบกับคนอีกผู้หนึ่งที่เกิดช่วงฤดูมรสุม เป็นช่วงที่ความกดอากาศแปรปรวน มีพายุ Depression เข้ามาในท้องถิ่นนั้นๆ เวลาที่เขาปฏิสนธิพอดี การสร้างกายเนื้อของเขาย่อมได้รับธาตุลมมาไว้ในตัวของเขามากกว่าธาตุอื่น โรคหรือภาวะเสียสมดุลเกี่ยวกับธาตุลม ได้แก่ การบีบตัวและการขับเคลื่อนลมในระบบลำไส้, ความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ รวมไปจนถึงการไหลเวียนของออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ก็จะเป็นจุดอ่อนทางสุขภาพของเขาผู้นั้น ในขณะเดียวกันธาตุลมที่ปั่นป่วนในระบบกระแสประสาท ก็ทำให้อุปนิสัยของคนกลุ่มนี้จะติดไปทางคิดมาก และขี้วิตกกังวลได้

          กลุ่มที่สามคือกลุ่มคนที่ปฏิสนธิในฤดูกาลน้ำหลาก หรือที่เรียกว่าหน้าน้ำ เนื่องจากน้ำหลากมาจากภาคเหนือเยอะในช่วงนั้น ความชื้นสูง เด็กที่ปฏิสนธิในครรภ์แม่ช่วงฤดูดังกล่าวก็จะรับเอาอิทธิพลของธาตุน้ำไว้มากเป็นพิเศษ สมดุลเกี่ยวกับน้ำในตัวก็จะเสียไปได้ง่าย เช่น กรณีของน้ำมูก เสมหะ บวมน้ำ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ รวมไปจนถึงระบบขับถ่ายต่างๆ ก็จะเป็นแนวโน้มหลักของคนกลุ่มนี้ไป
และด้วยความที่เป็นน้ำ ลักษณะอุปนิสัยของคนกลุ่มนี้จึงออกไปทาง เรื่อยๆ สบายๆ ใจเย็น แต่บางทีก็จะเฉื่อยแฉะเกินไปหน่อย

          ส่วนคนที่ปฏิสนธิในช่วงปลายปีหลังหน้าน้ำไปแล้ว เช่น ช่วงเดือนอ้าย เดือนยี่ (เดือนธันวาคม เดือนมกราคม) หลังน้ำลด ตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ ก็จะมีการทับถมของหน้าดินที่เป็นฮิวมัสหรือสารอาหารต่างๆ มากเป็นพิเศษ ประกอบกับยังไม่มีการเพาะปลูกอะไร ถือเป็นฤดูเริ่มต้นของความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นคนที่เกิดในช่วงนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะมีธาตุเด่นหรือธาตุเจ้าเรือนเกิดเป็นธาตุดินนั่นเอง

          คนในกลุ่มนี้จะกินแล้วดูดซึมได้ดี จึงมักมีความกำยำ ล่ำสัน โครงกระดูกใหญ่ การสะสมพลังงานสำรองจำพวกแป้งน้ำตาลในมัดกล้ามเนื้อและตับในรูปของไกลโคเจนก็จะทำได้ดีเป็นพิเศษ ทำให้สุขภาพทางกายค่อนข้างดี แต่ในขณะเดียวกัน ความที่เนื้อแน่น มีมวลกล้ามเนื้อมาก ก็มักจะมีปัญหาปวดเส้น กระดูกทับเส้นตามมา อุปนิสัยของคนกลุ่มนี้จึงมีลักษณะหนักแน่น อดทน ตามลักษณะของธาตุดินไปด้วย

          จาก Concept ของธาตุเจ้าเรือนเกิด ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์คร่าวๆ ของคนกับธรรมชาติที่เป็นฤดูกาล หรืออีกนัยหนึ่งอิทธิพลของดาวโลกต่อร่างกายที่เป็นกายเนื้อของมนุษย์ และด้วยอิทธิพลของธรรมชาตินี้เอง จึงทำให้สุขภาพและอุปนิสัยบางส่วนของคนๆ นั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่ตอนที่เราเกิด ไม่ใช่โดยการสุ่ม (Random) แต่เป็นเหตุและปัจจัยที่กำหนดเอาไว้แล้วโดยดวงดาวที่เรียกว่าโลกนั่นเอง

          อย่างไรก็ดี เราจะเห็นได้ว่าการคำนวณดังกล่าวจะให้ภาพที่แม่นยำแค่ไหนขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย นั่นคือ ฤดูกาลจะต้องเวียนเปลี่ยนไปแบบปกติไม่วิปริต, รู้ระยะเวลาที่อยู่ในครรภ์แน่นอน และมักจะใช้ดูสภาวะเริ่มก่อเกิดของช่วงต้นของชีวิตเท่านั้น หากอายุเปลี่ยนไป มีปัจจัยอื่นแทรกเพิ่มเติมเข้ามา การทำนายสุขภาพพื้นฐานย่อมเบี่ยงเบนไปได้ แต่กับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ไม่มีเทคโนโลยีใดช่วยเหลือ การรู้ธาตุเจ้าเรือนเกิดก็สามารถช่วยแพทย์ผู้รักษาวางแผนการรักษาได้อย่างมากแล้วเช่นกัน 
ข้อมูลจาก https://www.facebook.com/notes/สุขภาพดี-ตามวิถีแห่งดาว/



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น