วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

หน้าที่ของตรีโทษ

ตารางฟังก์ชั่นของตรีโทษ
หน้าที่ของตรีโทษ
Vata
วาตะ
Pitta
ปิตตะ
Kapha
ศเลษมะ
เกี่ยวข้องกับ
ระบบประสาท
ระบบเลือด
ระบบน้ำเหลือง
การทำงาน
เคลื่อนไหว
การย่อยอาหาร
การหล่อลื่น
ถ้าไม่ขับมละ(ของเสีย)ออก
ทำให้ท้องอืดลม เกิดโทษ
ทำให้ธาตุพิการและดีซ่าน
ทำให้ร่างกายคั่งบวม
มละที่ขับออก
ลมที่ผายออกมา
น้ำดี
เสลดที่ขากออกมา
อาการที่เป็น
อาการเจ็บป่วย
แสบร้อนและอักเสบ
อาการเป็นฝีเป็นหนอง
ไม่ปกติ
มีอาการทางจิตและประสาท
เป็นไข้ ถ้าตัวร้อนมาก หรือมีอาการทารุณ
จะรู้สึกหนักเนื้อหนักตัว และตามเนื้อหนังเปียก
พิการ
เจ็บไข้มีอาการทางสมองและประสาท
เจ็บทางท้อง
เจ็บไข้ทางอวัยวะเครื่องหายใจ
เมื่อปกติ
มีจิตมีใจ ทำให้เกิดความเอาใจใส่ ขยันหมั่นเพียร มีชีวิตจิตใจ
เกิดสติปัญญา ความคิด ความจำ
เกิดกำลัง ความอดทน และกล้าหาญ
เมื่อกำเริบ
มีความเศร้าโศกเสียใจห่วงใย
มีความโกรธ
เมื่อเวลาใจห่อเหี่ยว
การักษาที่ต้นตอ
ให้สูบสวนล้างท้องเอาพิษออก
ให้ยาระบายหรือยาถ่าย
ให้อาเจียน หรือยาที่เกี่ยวกับเสมหะพิการ
"ความสมดุลระหว่าง Tridosha เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพ."

ไข้ใดมีอาการทั้งสามอย่างนี้ คือ ทั้ง วาตะ ปิตตะ และ ศเลษมะ ไข้นั้นเป็นสันนิปาตะ (สันนิบาต) คือ ประชุมพร้อมกัน ทั้งตรีโทษ การดูไข้สันนิบาต จะต้องสอบสวนตรวจดูให้รู้ว่าอะไรเป็นโทษต้น หรือประธานิกโทษ (เกิดก่อน Primary) และอะไรเป็นโทษรอง หรือ อนุจรโทษ (เกิดตามที่หลัง Secondary) และโทษไหนรุนแรง ต้องแก้ก่อน โทษไหนอ่อน แก้ทีหลัง ตรีโทษที่เกิดประดังกันเป็น สันนิปาตะ เรียก สันนิปาตะ ชวรา (ไข้สันนิบาต) ซึ่งจำแนกออกไปอีกมาก

ที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเปรียบกับวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน ทางแผนปัจจุบันมีการเรียนค้นคว้าโรคภัยไข้เจ็บมาก สมุฏฐานของโรคกระจัดกระจายพิสดาร จำแนกแยกแยะออกไปตามที่ค้นใหม่ ไม่สิ้นสุดและการจัดระเบียบหมวดหมู่ของโรคต่างๆก็ยังไม่ยุติ ยังจะต้องจัดและเปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่อยๆ แต่ทางแผนโบราณ ยุติลงที่ตรีโทษ คือ ไม่ว่าแผนปัจจุบันจะค้นพบโรคอะไรใหม่ อะไรเก่า โบราณเอาเข้ามาจัดอยู่ที่ตรีโทษทั้งหมด และไม่ว่าโรคใดๆ จะมีอาการอย่างไรก็ตาม หนีไม่พ้น วาตะ ปิตตะ และ ศเลษมะ(เสมหะ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น