วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สรุปคัมภีร์มุจฉาปักขันธิกา

คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา หมายถึง  ตำราว่าด้วยอาการของโรคบุรุษและโรคสตรี รวมถึงยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรค        มุจฉาปักขันธิกา มาจากสองคำ คือ มุจฉา แปลว่า สลบ สยบ ตัณหา ปักขันธิกา แปลว่า โรคลงแดง บิด ตกเลือด ถ้าแปลตรงตัว แปลว่า การสยบการตกเลือด 
คัมภีร์มุจฉาปักขันธิกา เรียกอีกชื่อว่า คัมภีร์ทุลาวสา ซึ่งกล่าวถึงโรค ๓๒ ประการ แยกเป็น ๘ จำพวก คือ
ทุลาวสา ๔ มุตฆาต ๔  มุตกิด ๔ (เรียกว่าทุลาวสา ๑๒)
สันฑฆาต ๔  องคสูตร ๔ ช้ำรั่ว ๔ อุปทม ๔  ไส้ด้วน ๔ (เรียกว่าปะระเมหะ ๒๐)


สรุปโดยรวมกล่าวถึงโรคระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์

ทุราวสา๑๒จำพวก โรคเกี่ยวกับน้ำปัสสาวะ ประกอบด้วย  ทุราวสา  ๔ จำพวก  มุตกิด  ๔ จำพวก มุตฆาต ๔ จำพวก  
ทุราวสา 
ให้ปวดหัวเหน่าแสบองคชาติ     สะบัดร้อนหนาว   ช.
ทุราวสา ๔
.ปัสสาวะ สีขาวขุ่น เหมือนน้ำข้าวเช็ด 
ปัสสาวะสีเหลืองเหมือนขมิ้น
ปัสสาวะเป็นโลหิตสดๆ
 แดงเหมือนน้ำฝาง 
ปัสสาวะสีดำดุจน้ำคราม
มุตฆาต (เกิดเพราะกระทบชอกช้ำ)  ให้ขัดราวข้างเส้นปัตคาด  เสียดในอก บริโภคไม่ได้   * ให้ปัสสาวะแดงขุ่นข้น *  ญ
มุตฆาต ๔
.ปวดขัดเจ็บเสียวเป็นกำลัง
.เป็นโลหิตช้ำปนโลหิตสด 
.เป็นหนองขุ่นข้น 
.สีดำดุจน้ำคราม(น้ำครำ)
มุตกิด  ๔ จำพวก (เกิดเพราะโลหิตช้ำ) ให้ปวดหัวเหน่า ,ข้อตะโพก  แสบในอก บริโภคอาหารไม่รู้รส
มุตกิด๔
.ปัสสาวะดุจดลหิตช้ำ ดังน้ำปลาเน่า
.ปัสสาวะเป็นโลหิตจาง
ดุจน้ำชานหมาก
.ปัสสาวะเป็นหนองจาง
ดุจน้ำซาวข้าว
.ปัสสาวะเป็นเมือกขัด หยดย้อย
ปะระเมหะ  ๒๐ จำพวก  ช้ำรั่ว๔  องคสูตร ๔   อุปทม(อุปทังสโรค)   ไส้ด้วน    สัณฑะฆาต         
ช้ำรั่ว  (มดลูกอักเสบ)   (เกิดเฉพาะสตรี)   ให้ปวด  แสบ  ร้อน  คัน ช่องคลอด  ทวารเบา ปวดเสียวในมดลูก ขัดปัสสาวะ  ญ.
ช้ำรั่ว ๔
.คลอดบุตรอยู่ไฟไม่ได้ มดลูกไม่เข้าอู่ กลายเป็นหนองและโลหิต
.เพราะเสพเมถุนเกินประมาณชอกช้ำ ภายในเป็นน้ำหนอง  น้ำเหลืองเน่าร้าย
.เพราะเป็นฝีที่มดลูกปัสสาวะเป็น้ำเหลือง  น้ำคาวปลา
.เพราะเสพ เมถุนสำส่อน
เป็นน้ำเหลือง  น้ำหนอง 
ปัสสาวะกะปริดกระปอย
องคสูตร  ๔    (อัณฑะ,องคชาติ อักเสบ เกิดเฉพาะในชาย))    ช.           
.เกิดในคิมหันตฤดู  อัณฑะข้างขวาแดง ปวดเจ็บร้อนเส้นเอ็น เจ็บสองราวข้าง เสียดแทง ท้องผูก
.เกิดในวสันตฤดู (เดือน ๘-๑๐) เจ็บอก ขา บ่า ปลายเท้าให้แสบร้อนในรูองคชาติ อุจจาระเป็นมูกเลือด เกิดแต่ลำไส้ออกมา
.เกิดในเหมันตฤดู ให้ปวดในรูองคชาติ ปัสสาวะหยดย้อย เจ็บเอว กินไม่ได้ นานเข้าไส้ขาดตาย
.เกิดในสันนิปาตฤดู  
ทำให้ผิวอัณฑะดำและบวม
แสบร้อน เจ็บตาและปวดศีรษะข้างหนึ่ง อาาเจียนลมเปล่าปัส/น้ำเหลืองโลหิตออกมาคอแห้งน้ำลายเหนียว เสมหะโลหิตทวารหนัก ดุจเป็นบิด
อุปทม๔(อุปทังสโรค ) การอักเสบ ,เกิดได้ทั้งกับบุรุษและสตรี
.เสพเมถุน กับสตรีที่ยังไม่มีมีประจำเดือน ให้องค์กำเนิด ช้ำ  เดาะ เป็นหนอง 
เสพเมถุนกับสตรีแพศยา  ให้ช่องสังวาส ชอกช้ำ 
.เพราะโทษกษัยกล่อนและกาฬมูตรให้องค์กำเนิดบวม แสบร้อนให้เป็นหนอง เป็นโลหิต (มิได้เกิดจากกามตัณหา)
.เพราะนิ่วบุรุษ เพราะคชราช 
(คุดทะราด)ปลายแล้วลามเข้าไป /
สตรีเพราะดากโลหิตออกมาแต่ทวาร
ครรภ์  ให้เป็นหนอง เป็นโลหิตลิ่มแท่งออกมาปวดหัวเหน่า เรียกอุปทังสโรค
ไส้ด้วน (เป็นหนอง  เกิดจากภายนอกถึงภายใน) ๔ จำพวก ให้ขัดยอก ปวดขัด ปัสสาวะ  ไส้ลาม ให้ผุดเป็นเม็ด 
   ชายหญิงก็เหมือนกัน 
.เสพเมถุนสำส่อน เป็นเม็ดข้างใน ข้างนอก มีหนองออกมา หรือเป็นฝีที่หน้าขา หรือเป็นเม็ดขึ้น ทั่วกาย ให้ ปวดกระดูก ขัดปัสสาวะ
เสพเมถุนกับสตรีมีประจำเดือนให้เป็นเม็ด  เป็นแผลภายใน  ผื่นวงตามร่างกาย  ขัดยอก  ปวดปัสสาวะ
เสพเมถุนรุนแรง ให้กระทบชอกช้ำ เป็นเม็ด  เป็นแผล มีน้ำหนองไหล
เสพเมถุนกับสตรีแพศยา
ลามก เป็นฝีอุปทม ที่ปลายองค์กำเนิดแตกเป็นน้ำเหลือง
น้ำหนอง
สัณฑะฆาต    จำพวก                         
สัณฑฆาต๔ 
จำพวก
.เกิดเพื่อโลหิตแห้ง เป็นก้อนติดกระดูกสันหลัง(หญิงระดูขัด,ชายอุบัติเหตุ)  เป็นอสาทิยโรค
.เกิดเพื่อกาฬขึ้นใน  ดี ,ตับ,ปอด,หัวใจ  
ถ้าโลหิตแตกออกทวารทั้ง ๙ เรียกรัตตปิตตโรค เป็นอติสัยโรค 
.เกิดเพื่อปัตคาด  ให้ท้องผูกเป็นพรรดึก  โลหิตจับเป็นก้อนอยู่ในท้อง ให้ตึงลงทวารเบา 
.เกิดเพื่อกล่อนแห้ง เจ็บ
กระบอกตา เมื่อยทั่วตัวให้เป็น
เม็ดงอกในรูองคชาต
เป็นอสาทิยโรค
โทสัณฑะฆาต     (ลักษณะโลหิตจับเป็นลิ่ม,เป็นก้อนเท่าไข่ติดกระดูกสันหลัง)   (เรียก “สันนิจโลหิตกระทำพิษต่างๆ)เกิดกับสตรี  เป็นเพราะโลหิตระดูแห้ง   เกิดกับบุรุษ เป็นเพราะ กระทบชอกช้ำใน ถ
ตรีสัณฑะฆาต(เกิดกาฬขึ้นในอวัยวะต่างๆ)ขึ้นในดี  ให้คลั่งเพ้อ   ขึ้นที่ตับ   ให้ลงเป็นโลหิต  ขึ้นที่ไส้อ่อน  ให้จุกเสียด,
ท้องขึ้น  ขึ้นในปอด  ให้กระหายน้ำ   ขึ้นในหัวใจ  ให้แน่นิ่งไป

นิ่วศิลาปูน มักเกิดเพื่ออาโปธาตุ แลผู้ใดกินหมากมากนักกลืนน้ำหมากเข้าไปเนืองๆ ก็ตกตะกอนในกะเพาะปัสสาวะ กลมดังเม็ดบัวออกมาจุกช่องทวารปัสสาวะ ให้เจ็บปวดเปนกำลัง แลให้ผอมเหลือง

นิ่วเนื้อด้วยอุปทม บุรุษเกิดด้วยมุตฆาต ให้เปนลำลาบ ขึ้นไปแต่ปลายองคชาต แล้วมักลามเข้าไปสู่ทวารเบาไม่รู้หาย ก็โตออกมาแข็งเข้าเปนดานอยู่ ถ้าสัตรีก็เหมือนกัน มักออกมาแต่ทวารเบาเปนเม็ดที่ซ่วง ถ้าแก่ก็ลามขึ้นถึงหัวเหน่า ให้ตกโลหิตเปนกำลัง เปนลิ่มเปนแท่งออกมาแต่ในกลางที่ปลายซ่วง ขาดออกมาบ้างก็ให้เหม็นเหน้านัก ลางทีเปนบุพโพออกมาบ้าง ให้ปวดหัวเหน่านักแลท้องน้อยดังจะขาดใจตาย ให้แน่นอก มักให้อาเจียรน้ำเขฬะ บางทีให้จุกเสียด ให้ร้อนปลายมือปลายเท้าแล้วให้ปวดสีสะให้ชักมือกำเท้ากำเปนเนืองๆ ถ้าแก้ด้วยามิฟังเมื่อจะใกล้ตายให้ตกโลหิตสดๆ ออกมากลางวันกลางคืน จะกินอาหารสิ่งใดมิได้ จะนอนก็มิหลับ โทษนั้น ๗ วัน ให้หูตึงตาไม่รู้จักหน้าคน ลิ้นไม่รู้จักรสอาหารเปนตรีโทษ ๓ วันตาย

บานทะโรค (ริดสีดวง) อุจจาระนั้นเสียด้วยลมโกฎฐาสยาวาตามิได้พัดชำระปะระเมหะ และเมือกมันในลำไส้ จนตกเป็นคราบตะกรันติดในลำไส้อยู่ เมื่อระคนกับอุจจาระธาตุและเดินลงสู่ช่องทวาร ก็ให้แตกเป็นโลหิต เป็นเม็ดยอดขึ้นตามขอบทวารเป็นริดสีดวงปวดแสบขบ หากเม็ดยอดขึ้นที่ต้นไส้ต่อ (ลำกะรีสบักคือทางเดินอาหารเก่า) ก็มีอาการดุจนิ่ว ไส้ด้วน ไส้ลาม เรียกดานเถามุตตะฆาต นิ่ว ปะระเมหะ กษัยกล่อน และริดสีดวง หรือเรียกลามกอติสารลักษณะเปนซ่วง โลหิตออกเปนดังซ่วงเนื้อ ก็เหมือนกัน แต่ทวารซ่วงโลหิตนั้น มักเหน้าขาดออกมาเปนชิ้นเปนแท่ง เหม็นดังกลิ่นศพ ลางทีมักเปนน้ำเหลืองไหลไปทั้งกลางวันกลางคืน หาแรงมิได้กินอาหารมิได้ ให้อาเจียรเนืองๆ ให้ลมจับบ่อยๆ ถ้าจะแก้ให้ทำยาแช่ซ่วงให้หดเสียก่อน
กษัยกร่อนให้ดูในกษัยกล่อน เช่นนิ่วในถุงน้ำดีเป็นต้น

สันนิจโลหิต คือ หากเป็นหญิงเกิดจากโลหิตระดูแห้งเป็นก้อนเท่าไข่ไก่ ถ้ากินเผ็ดร้อนลงไปโลหิตก็จะแห้งเข้าติดกระดูกสันหลังข้างใน ถ้าเป็นชายเกิดจากตกต้นไม้ ถูกทุบถองโบยตี เป็นโรคอันถึงพิฆาต โลหิตนั้นคุมเป็นก้อนเจ็บร้อนเสียดแทงในอก เสียดสันหลัง หากวางยาผิดโลหิตนั้นกระจายเข้าตามกระดูกสันหลัง
ลักปิด คือ บุคคลใดเป็นตรีสัณฑะฆาตมาได้ ๗-๘ วัน โลหิตแตกซ่านไปในทวารทั้ง ๙ เรียก ลักปิด

หมายเหตุ ในการอ่านสรุปคัมภีร์ ควรอ่านเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดก่อนอย่างน้อย ๑ รอบ แล้วมาอ่านสรุปจะทำให้เข้าใจ ภาพรวมทั้งหมดยิ่งขึ้น
ตัวอย่างข้อสอบคัมภีร์มุจฉาปักขันธิกา

1.ข้อใดจัดอยู่ในทุราวสา 32 

                ก. ทุรวสา 20  ประเมหะ 12                    ข. ทุรวสา 12  ประเมหะ 20

                ค. ทุรวสา 16 ประเมหะ 16                     ง. ผิดทุกข้อ

2. ข้อใดจัดอยู่ในทุราวสา 12 

                ก. อุปทม 4                                              ข. มุตฆาต 4

                ค.สัณฑฆาต 4                                          ง. ถูกทุกข้อ

3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะปัสสาวะในมุตกิด 4 จำพวก

ก. ปัสสาวะดุจโลหิตช้ำ ดังน้ำปลาเน่า                     ข. ปัสสาวะเป็นหนองจางๆ  ดุจน้ำซาวข้าว

ค. ปัสสาวะเป็นโลหิตจาง  ดุจน้ำชานหมาก            ง. ปัสสาวะเป็นสีดำ  ดุจน้ำครำ

4. อาการ ให้ปวดหัวเหน่า  ให้แสบองคชาต  ให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว   เป็นอาการของโรคใด

                ก. ทุราวสา 4                                            ข. มุตกิต 4

                ค. มุตฆาต 4                                             ง. ถูกทุกข้อ

5.  กระทำให้ปัสสาวะหยดย้อย  ให้ปวดแสบในองคชาต  เจ็บบั้นเอวเป็นกำลัง  ครั้นแก่เข้าทำให้ไส้ขาดออกมา  รักษาไม่ได้  เกิดเพราะเสมหะ 3 ส่วน  โลหิต 2 ส่วน  เป็นอาการขององคสูตรที่เกิดในฤดูใด

                ก. คิมหันตฤดู                                            ข. วสันตฤดู

                ค. เหมันตฤดู                                              ง. สันนิปาตฤดู

7. อาการปัสสาวะหยดย้อย  ปวดแสบยิ่งนัก  บางทีเป็นน้ำเหลือง  บางทีเป็นน้ำคาวปลาไหลซึม  โทษเกิดเพราะน้ำเหลืองร้าย    จัดเป็นอาการของช้ำรั่ว  ที่มีสาเหตุจากข้อใด

                ก.  ช้ำรั่วเกิดเพราะคลอดบุตร                      ข.   ช้ำรั่วเกิดเพราะเสพเมถุนเกินประมาณ

                ค.  ช้ำรั่วเกิดเพราะเป็นฝีในมดลูก                ง.  ช้ำรั่วเกิดเพราะเสพเมถุนสำส่อน

8. อุปทมในข้อใด  ที่เกิดกับบุคคลผู้บริสุทธิ์  ที่มิได้มักมากในทางกามตัณหา  เช่น  พระภิกษุ  สามเณร  หรือฆราวาส ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์  ไม่ได้เสพเมถุนกับมาตุคามเลย

                ก. อุปทมเกิดเพราะนิ่ว                                  ข. อุปทมเกิดเพราะโทษดาน

                ค. อุปทมเกิดเพราะกระษัยกล่อน                  ง. ข้อ ข. และ ข้อ ค. ถูก

9. ลักษณะอาการ  ให้เป็นเม็ดขึ้นมาเท่าเม็ดถั่วดำที่ปลายองคชาต  แล้วแตกเป็นน้ำเหลือง  ทำพิษเจ็บปวดแสบร้อน  เน่าเข้าไปแต่ปลายองคชาต  บางทีกัดองคชาตเน่าเข้าไปทุกวัน จนถึงโคนองคชาตเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น  จัดอยู่ในประเมหะจำพวกใด

                ก. องคสูตร                                    ข. อุปทม

                ค. ไส้ด้วน                                      ง. ไส้ลาม

10.  ข้อใดจัดอยู่ในนิ่ว 4 จำพวก

                ก. นิ่วศิลาปูน                                  ข. กระษัยกล่อน

                ค. บานทะโรค                                 ง. ถูกทุกข้อ

11.  นิ่วในข้อใดเกิดเพราะธาตุทั้ง 4  มีอาการให้ปวดแสบลูกอัณฑะ  เจ็บเสียวเกลียวเองทั้ง 2 ข้าง  ปวดขัดปัสสาวะ

            ก. นิ่วศิลาปูน                                       ข. นิ่วเนื้อ

            ค. กล่อนนิ่ว                                         ง. ผิดทุกข้อ

       ข้อ 12.    ทุราวสามี 4 จำพวก จำพวกใดที่รักษาไม่ได้
                 1.   ปัสสาวะออกมาเป็นสีขาว                            2.   ปัสสาวะออกมาเป็นสีเหลือง
                 3.   ปัสสาวะออกมาเป็นสีโลหิตสดๆ                 4.   ปัสสาวะออกมาเป็นสีดำดังน้ำคราม
ข้อ
 13.    ปัสสาวะออกมาแดงขุ่นข้น เป็นสีดำดุจดั่งน้ำครามคือ
                 1.   มุตฆาต                  2.   มุตกิต
                 3.   ทุราวสา                 4.   ถูกทุกข้อ
ข้อ 14.
     อุจจาระมีกลิ่นหม็นเหมือนหญ้าเน่ามีอาการอย่างไร?
                  1.   เจ็บหน้าอก น้ำลายไหล ตาแดง                  2.   เจ็บคอ ค้ดจมูก เมื่อยตัว
                  3.   เจ็บหน้าอก เจ็บในท้อง เจ็บในกระดูก       4.   ปากแห้ง คอแห้ง วิงเวียน

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น